posttoday

ตำนานสุนทราภรณ์ (9)

08 มีนาคม 2565

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

***************

การที่เพลงแต่ละเพลงจะไปถึงหูผู้ฟังได้นั้น จะต้องมีผู้สร้างและผู้นำเสนอรวม 5 ส่วนด้วยกัน คือ ผู้แต่งทำนอง (Composer) ผู้ประพันธ์คำร้อง (Lyricist) ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน (Arranger) นักดนตรี (Musicians) และนักร้อง (Singer)

เพลงสุนทราภรณ์มีครูเอื้อเป็นผู้แต่งทำนองหลัก และผู้ประพันธ์คำร้องคนสำคัญคือ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ซึ่งมีผลงานมากมายนับพันเพลง และแทบทุกเพลงเป็นผลงานที่งดงาม ประณีต ลงตัว และได้รับความนิยมยกย่องจากทั้งในวงการดนตรีและประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ผลงานและเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงของครูแก้วจึงมีมากมาย และ “คีตา พญาไท” ผู้เขียนหนังสือชุด “82 ปี สุนทราภรณ์ อนุสรณ์ฝากไว้” ได้นำมาเขียนไว้เป็น เล่มที่ 4 ในชุดนี้ ซึ่งเป็นเล่มที่ใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่ง มีความยาวเฉพาะส่วนเนื้อหาถึง 814 หน้า กับส่วนคำนำและ คำนิยมอีก 52 หน้า มีเนื้อเพลงจำนวนมาก และเรื่องราวภูมิหลังอันน่าสนใจของเพลงและผู้เกี่ยวข้องมากมาย เต็มอิ่ม

ผู้เขียน คือ “คีตา พญาไท” ตั้งสมญานามของครูแก้วว่า “อัจฉริยะคีตกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” เพราะในบรรดานักประพันธ์เนื้อร้องเพลงของไทย คงไม่มีใครมีผลงานมากเท่า ได้รับการยอมรับและความนิยมอย่างกว้างขวางมากมายเท่าครูแก้ว โดยผลงานเพลงของครูแก้วจำนวนมาก ผู้เขียนได้นำมาวิเคราะห์ทั้งความและคำ ที่งดงาม ลงตัว เข้าขั้นเป็น “บทกวี” ซึ่ง “คีตะ” คือ “เพลงขับ”

ตามความหมายในพจนานุกรม ครูแก้วจึงเป็น “คีตกวี” (ในขณะที่ครูเอื้อเป็น “ดุริยกวี”) และผลงานมากมายของครูแก้วแสดง “อัจฉริยภาพ” ของครูแก้ว สมนาม “อัจฉริยะกุล” ครูแก้วจึงเป็นคีตกวีอัจฉริยะ และผู้เขียนผูกคำในสมญานามที่ตั้งให้ว่า “อัจฉริยะคีตกวี” ซึ่งคล้ายคลึงกับนามสกุล “อัจฉริยะกุล” ของครูแก้ว ซึ่งยังคง สระ “ ะ ” เอาไว้ ส่วนคำขยายความว่า “แห่งกรุงรัตนโกสินทร์” นั้นนัยหนึ่งบ่งบอกว่าในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงจะไม่มีใครที่มีผลงานยิ่งใหญ่เทียมเท่าครูแก้วอีกแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งบ่งบอกว่าครูแก้วมีชีวิตและสร้างผลงานในยุครัตนโกสินทร์ เหมือนครูเอื้อเป็น “ดุริยกวี” ในยุคสมัยครอบคลุม 4 รัชกาล

ความจริงแล้ว ผลงานของครูแก้วมากทั้งปริมาณและสูงด้วยคุณภาพและคุณค่า จะหา “คีตกร” ผู้ใดในแผ่นดินสยามเทียมเท่ามิได้ ไม่เพียงในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เท่านั้น

ครูแก้ว เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2458 จึงเป็นรุ่นน้องครูเอื้อราว 4 ปีเศษ บิดาเป็นชาวกรีก ชื่อคอนสแตนติน ปาปายาโนปูโลส ต่อมามีชื่อไทยคือนายใหญ่ อัจฉริยะกุล แม่เป็นคนไทยชื่อนางล้วน เหรียญสุวรรณ บิดาครูแก้วเป็นคริสต์ แต่ครูแก้วศรัทธาในพระพุทธศาสนา และบิดายอมให้บวช (เล่ม 4 น. 4, 776) โดยบวชที่วัดมหาธาตุ

โดยพื้นฐานครูแก้วเป็นคนกรุงเทพฯ บิดาเป็นคหบดี เปิดห้างขายบุหรี่และซิการ์กลิ่นรสต่างๆ อยู่ที่ถนนเจริญกรุง ก่อนจะย้ายไปสร้างตึกใหม่ที่ถนนสี่พระยา ขยายกิจการเปิดโรงงานขนาดใหญ่ บิดามีโอกาสใกล้ชิดกับเจ้านาย เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทางด้านการศึกษา เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนครูสว่าง ในซอยสว่าง ถนนสี่พระยา แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเยนเฮส์ เมมโมเรียล ซึ่งเป็นโรงเรียนของมิชชันนารี ต่อที่โรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ของชาวอังกฤษ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จนจบชั้นมัธยม 8 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด

ครูแก้วแสดงแววอัจฉริยะ ตั้งแต่เมื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สอบภาษาอังกฤษได้คะแนนถึง 99% ทางด้านภาษาไทยก็เก่งถึงขั้นแต่งกลอนจนครูยอมรับต่อหน้านักเรียนในชั้นว่า “มันแน่” เรื่องเพลงก็สามารถร้องเพลงจากละครเรื่องจันทร์เจ้าขา ของพรานบูรพ์ทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสเข้าไปดูละครในโรงเลย และยังแต่งเพลงได้ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม รวมทั้งแต่งเรื่องสั้นส่งไปลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ ของเทพ มหาปารยะ (ชื่อเรื่อง “นาถจ๋า”)

ครูแก้ว อยากเป็นนักเรียนนายเรือ แต่ไม่ผ่านการตรวจโรคเพราะสายตาไม่ดี จึงคิดจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่บิดาป่วยหนัก จึงเข้าไปเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับเริ่มทำงานที่กรมไปรษณีย์โทรเลข ขณะเดียวกันก็เริ่มแต่งเพลงและร่วมคณะละครวิทยุ

ครูแก้วร่วมแต่งเพลงกับครูเวส สุนทรจามร โดยครูแก้วแต่งคำร้อง ครูเวสแต่งทำนอง มีผลงานร่วมกันหลายร้อยเพลง ซึ่งกลายเป็นเพลง “ดัง” และเพลง “อมตะ” จำนวนมาก เช่น เพลงพรหมลิขิต เพลงฟ้าคลุ้มฝน เพลงริมฝั่งน้ำ เพลงอาลัยลา เพลงคำหอม เพลงดอกไม้ใกล้มือ เพลงหงส์เหิน ฯลฯ

ต่อมาครูแก้ว ยังแต่งเพลงร่วมกับหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ สร้างเพลง “อมตะ” หลายเพลง เช่น เพลงคะนึงครวญ เพลงไม่อยากจากเธอ เพลงเมื่อไรจะให้พบ “ครูเพลง” อีกท่านหนึ่งที่ครูแก้วร่วมแต่งเพลงด้วย คือ ครูนารถ ถาวรบุตร ซึ่งมีเพลง “อมตะ” หลายเพลง เช่น เพลงมาร์ชกองทัพบก เพลงมาร์ชพิทักสันติราษฎร์ ส่วนเพลง “หวาน” เช่น เพลงอาลัยรัก เพลงลุ่มเจ้าพระยา

ครูแก้วแต่งเพลงร่วมกับครูเพลงอีกหลายท่าน เช่น ครูสริ ยงยุทธ ครูสุรัฐ พุกกะเวส ครูสมพงษ์ ทิพยกะลิน ครูธนิต ผลประเสริฐ ครูสมศักดิ์ เทพานนท์ และที่แต่งร่วมกันมากที่สุดก็คือกับ ครูเอื้อ สุนทรสนาน ทั้งเพลงใน “แนวสุนทราภรณ์” และ “เพลงไทยลูกกรุง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผลงานในยุคต้นๆ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2” โดยทั้งสองท่านร่วมกันแต่งเพลงในช่วงต้นๆ ราว พ.ศ. 2483 เรื่อยมาจนครูแก้วลาออกจากวงดนตรี สุนทราภรณ์ไปเมื่อ พ.ศ. 2497 (เล่ม 4 น. 131-132)

เพลงที่ครูแก้วกับครูเอื้อร่วมกันแต่ง มีความ “ลงตัว” และ “งดงาม” เป็นที่ชื่นชมของประชาชนมากที่สุด จนสุวัฒน์ วรดิลก ศิลปินแห่งชาติ ที่ร่วมงานกับครูเอื้อทั้งโดยตนเองและคู่ชีวิต คือ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี สรุปคำยกย่องไว้อย่างกระชับว่า เพลงที่ถูกใจประชาชนมากที่สุดคือ เพลง “ทำนอง-เอื้อ เนื้อ-แก้ว”

ครูแก้วกับครูเอื้อ ร่วมกัน รังสรรค์ เพลงหลากหลายประเภท เริ่มตั้งแต่ เพลงปลุกใจตามนโยบายของผู้นำประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น เพลงบ้านเกิดเมืองนอน, เพลงไทยต้องทำ, เพลงไทยวิวัฒน์, เพลงสดุดีบรรพไทย, เพลงสร้างไทย; เพลงสดุดีเทิดทูนสถาบันพระบรมมหากษัตริย์ เช่น เพลงฑีกายุโก โหตุ มหาราชา, เพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น, เพลงนเรศวรมหาราช; เพลงสอนเด็ก เช่น เพลงหนูเล็ก เพลงลูกแก้วสกุลไทย; เพลงประจำสถาบันการศึกษาต่างๆ; เพลงเกี่ยวกับจังหวัดและสถานที่ท่องเที่ยว เช่น เพลงกรุงเทพราตรี, เพลงเจ้าพระยา, เพลงผาเงอบ, เพลงภูกระดึง, เพลงหาดสงขลา; เพลงที่เกี่ยวกับคติธรรมที่สะท้อนชีวิตในสังคม เช่น เพลงคนเหมือนกัน, เพลงจังหวะชีวิต, เพลงจันทน์กระพ้อร่วง ฯลฯ

น่าเสียดายที่ครูแก้ว มีอายุไม่ยืนยาว ครูแก้วจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2524 สิริรวมอายุได้ 66 ปี 4 เดือน 23 วัน โดยเสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อ ขณะที่ ครูแก้วป่วยและจากไปด้วยโรคไม่ติดเชื้อ โดยช่วงท้ายของชีวิตมีความทุกข์ทรมานอยู่มากพอสมควร

ครูเอื้อเขียนถึงครูแก้วว่า “เราแต่งเพลงด้วยกัน ส่งวิทยุด้วยกัน (ยังไม่มีโทรทัศน์) ผมแสดงหน้าเวที แสดงตามงาน โรงภาพยนตร์ ครูแก้วอยู่หลังเวที หลังฉาก ผมพากย์หนัง ครูแก้วก็เขียนบทให้ผมพากษ์ ครูแก้วเป็นเพื่อนที่ใจกว้าง รักเกียรติ มิตรภาพมาก่อนเงินตรา ผมทำงานกับครูแก้ว สบายใจ ได้ผลดีมาตลอดรอดฝั่ง แล้วผมจะลืมวันเวลาที่ผมได้ทำงานร่วมกับครูแก้วได้อย่างไร ครูแก้ววางตัวเป็นแก้วประดับวงดนตรีสุนทราภรณ์จริงๆ”

******************

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลหญิงซีเกมส์ ไทย พบ อินโดนิเซีย วันนี้