posttoday

การสร้างโอกาสด้วยการศึกษา

19 กุมภาพันธ์ 2565

คอลัมน์เปิดประตูค้าชายแดน

ระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้ ผมได้มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีกับวงการศึกษาที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเราสองแห่ง ด้วยการไปเป็นอาจารย์พิเศษช่วยสอนหนังสือให้แก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ทำให้รู้และเห็นเด็กนักศึกษารุ่นใหม่ๆ ที่เขามองการศึกษาของเขาอย่างไรได้ชัดเจนมากขึ้น

ในยุคคนรุ่นผม การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ถือเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ต้องแข่งขันกันสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่แสนจะหฤโหดกันเลยทีเดียว ผมเชื่อว่าแฟนคลับหลายๆท่าน ก็คงจะผ่านสนามแข่งขันนั้นมาแล้ว คงจะเข้าใจลึกซึ้งกันเป็นอย่างดี

แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่อย่างที่เคยพบเห็นแล้วละครับ ประเทศไทยเรามีมหาวิทยาลัยในประเทศ ทั้งสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ที่เป็นของรัฐบาลและเอกชนมีมากถึง 170 แห่ง ( sites.google.com) ซึ่งสามารถเลือกเรียนได้อย่างจุใจเลยครับ 

ในขณะนักศึกษาที่ประเทศเมียนมา ได้ประสบกับปัญหาโรคระบาด COVID-19 ในปัจจุบันนี้ แทบจะไม่สามารถเดินทางไปเรียนในระบบได้ ถ้าเป็นในเมืองใหญ่ๆ อาจจะสามารถเรียนออนไลน์ได้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ห่างไกลจากเมีองใหญ่ที่ไม่มีอินเตอร์เนต ยิ่งไม่สามารถเรียนทางออนไลน์ได้ ก็จะยิ่งลำบากมากเลยครับ

ดังนั้นก็พอจะอนุมาณได้ว่า การศึกษาในประเทศเมียนมา เหมือนย้อนยุคกลับไปเหมือนปี ค.ศ. 1988-2000 ต้นๆ ที่ทางการเมียนมาในยุคนั้น ไม่อนุญาตให้นักศึกษาเข้าเรียนในระบบได้ เนื่องจากมีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทหาร เหมือนปัจจุบันเลยครับ จึงทำให้การศึกษาขาดหายไปช่วงหนึ่งของคนรุ่นนั้นไปเลย

ในปัจจุบันนี้ดีที่ยังมีอินเตอร์เนตใช้ การสื่อสารยังดีกว่ายุคก่อนนั้นเยอะมาก ทำให้คนรุ่นนี้มีโอกาสดีกว่าคนรุ่นเก่ามาก เพียงแต่ในยุคเก่าจะมีปัญหาแต่เพียงการศึกษาขั้นอุดมศึกษาเท่านั้น

ในขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของโรคร้าย COVID-19 ก็ทำให้ยุคนี้ ไม่ได้แยกแยะเพียงแค่ระดับอุดมศึกษาเท่านั้น นักเรียนตั้งแต่อนุบาลขึ้นไป ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันทั้งหมด จึงน่าจะเลวร้ายกว่ารุ่นเก่ามาก เพียงแต่รุ่นนี้มีการเข้าถึงโซเชียลมีเดียมากขึ้น โอกาสทางการศึกษาจึงมีมากขึ้น

อีกทั้งคนรุ่นนี้มีความตระหนักถึงความสำคัญทางการศึกษา เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2010 เป็นต้นมา คนรุ่นหนุ่มสาวได้รับรู้ถึงคุณค่าของการศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างฐานะความร่ำรวยให้แก่เขาได้ ดังนั้นพอเข้าสู่ปี 2020 ทั้งโรคร้าย COVID-19 และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้คนรุ่นหนุ่มสาว ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ด้วยการแสวงหาหนทางในการศึกษากันให้ได้

ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทยเรา มันช่างต่างกับนักเรียน-นักศึกษาไทยเราราวฟ้ากับดิน ที่พอจบการศึกษาออกมาสู่โลกนอกรั้วของโรงเรียน ก็ดิ้นรนหางานทำกันไม่ค่อยได้ อัตราการตกงานในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตกหล่นลงไปอย่างมาก ซึ่งยิ่งทำให้เด็กรุ่นใหม่ในบ้านเรา เท่าที่ผมสัมผัสมา จึงเหมือนกับว่ามาเรียนหนังสือเหมือนถูกพ่อแม่บังคับให้มาเรียนอย่างไรก็ไม่รู้

สำหรับนักศึกษาเมียนมาปัจจุบันนี้ เมื่อทางการไม่สามารถเปิดทำการเรียนการสอนได้ คนที่เรียนอยู่ครึ่งๆกลางๆ เช่นเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเรียนปีไหนก็ตาม จึงมีความรู้สึกเดียวกันว่า เสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อให้จบ บางคนถึงขั้นต้องดิ้นรนออกมาสู่ต่างประเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษากัน

บางคนเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาในต่างประเทศไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นด้วยปัจจัยทางด้านการเงิน หรือปัจจัยทางด้านวุฒิการศึกษา ที่ทางประเทศเมียนมา มีความแตกต่างกับประเทศอื่นๆ เพราะที่ประเทศเมียนมาใช้เวลาการเรียนในระบบ เพียงแค่ 10 ปีก็จบมัธยมปลายแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นๆทั่วไปต้องเรียนถึง 12 ปี จึงจะจบมัธยมปลาย จึงทำให้มีปัญหาทางด้านวุฒิการศึกษามากนั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีคนเมียนมาหัวใสบางคน ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แล้วรู้ถึงความต้องการแสวงหาการศึกษาของคนรุ่นใหม่ จึงเปิดโรงเรียนที่ไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของไทยเราขึ้นในประเทศไทย เพื่อรองรับคนเมียนมาที่เข้ามาที่ประเทศไทย เมื่อเรียนจบตามที่เขาสอน (ไม่รู้ว่าสอนด้วยหลักสูตรอะไร) ก็มอบใบประกาศนียบัตรให้ไปเลย เท่าที่ผมทราบ ก็เห็นอยู่ 2-3 แห่งแล้วนะครับ ส่วนใหญ่จะรับสอนด้านเทคโนโลยีไอทีเป็นสำคัญ เพราะสอนง่ายนั่นเองครับ

ในขณะที่ทางสถาบันการศึกษาของไทยเรา ก็มีปัญหาด้านนักศึกษาไทย ที่มีจำนวนลดลงไปมาก ผมจึงคิดว่า หากมีการแสวงหาจุดร่วม ในการรับสมัครนักศึกษาเมียนมาได้ ผมก็คิดว่าน่าจะมาทดแทนนักศึกษาที่ขาดหายไปได้นะครับ

หากเราสามารถนำเอาวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ ก็ไม่เลวนะครับ เพราะว่าไหนๆเราก็ไม่มีการรับนักศึกษาเมียนมา คนเมียนมาที่เข้ามาเปิดสถาบัน เขาก็รับการโครมๆอยู่แล้ว ผมจึงคิดว่าหากเรารับเองเสียเลย มันน่าจะดีนะครับ 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด พิธีปิดซีเกมส์ 2025 สุดยิ่งใหญ่ ส่งไม้ต่อ มาเลเซีย 2027