posttoday

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่สาม)

17 กุมภาพันธ์ 2565

โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร

********************

นักวิชาการต่างประเทศลงความเห็นว่า สาเหตุของวิกฤตค่าเงินระหว่าง พ.ศ. 2460-2463 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการคลังของประเทศจนสิ้นรัชสมัยและสืบเนื่องไปถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ใส่พระทัยคำแนะนำของที่ปรึกษาชาวต่างชาติ รวมทั้งการไม่ใส่พระทัยในการบริหารราชการแผ่นดิน ขณะเดียวกันก็ไม่ทรงยอมให้ผู้อื่นใดมาช่วยกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แต่ต้องการดึงอำนาจไว้ที่พระองค์เองเท่านั้น (ดู https://www.posttoday.com/politic/columnist/675331 )

ขณะเดียวกัน ในความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถกรณีการเสด็จเยือนญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2463 (ซึ่งเป็นไปได้ว่า เหตุผลประการหนึ่งในการเสด็จเยือนญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2463 คือ การเข้ารับการผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์ แต่ไม่มีการเปิดเผยเหตุผลดังกล่าวนี้ ดู https://www.posttoday.com/politic/columnist/674755 ) ที่กรมพระจันทบุรีนฤนาถทรงคัดค้าน โดยทรงยื่นเงื่อนไขว่า หากพระองค์ทรงยืนยันที่จะเสด็จเยือนญี่ปุ่น กรมพระจันทบุรีฯก็จะลาออก ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จ อีกทั้งเมื่อกรมพระจันทบุรีฯลาออก พระองค์ก็ไม่ทรงยอมให้ลาออก

ถ้านักวิชาการตะวันตกเห็นว่า พระองค์ไม่ใส่พระทัยในการบริหารราชกาแผ่นดินและต้องการดึงอำนาจไว้ที่พระองค์เองจริงๆ คำถามคือ ทำไมพระองค์ไม่ใช้พระราชอำนาจในการเสด็จเยือนญี่ปุ่น โดยไม่ต้องรับฟังคำคัดค้านของกรมพระจันทบุรีฯ ? และยิ่งหากการปกครองของสยามได้เข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2435 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยแล้ว !

ผู้เขียนมีคำอธิบายอีกชุดหนึ่งต่อกรณี “พระราชอำนาจ” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะพระราชอำนาจอันแท้จริงในทางปฏิบัติ โดยพิจารณาจากผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีในรัชสมัยของพระองค์ โดยจะขอเริ่มจากกระทรวงมหาดไทยเป็นอันดับแรก

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่สาม)

จากตารางรายพระนามและรายนามเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยข้างต้น จะพบว่า แบ่งออกได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีที่สืบต่อมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับผู้ดำรงเสนาบดีที่พระองค์ทรงแต่งตั้งขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ นั่นคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ (อิสริยยศในสมัยรัชกาลที่ห้า) ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมาตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2435 และดำรงตำแหน่งต่อมาหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วเป็นเวลาอีก 5 ปี และในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2458 หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงแต่งตั้งจากพระบรมวงศานุวงศ์ แต่แต่งตั้งจากขุนนาง นั่นคือ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) และเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

สาเหตุที่พระองค์ต้องทรงแต่งตั้งขุนนางมาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแทนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เพราะกรมพระยาดำรงฯทรงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่าทรงชราภาพ ไม่สามารถทำราชการหนักในตำแหน่งต่อไป โดยในขณะนั้น ทรงมีพระชนมายุได้ 53 ปี แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็นเสนาบดีที่ปรึกษา

ผู้เขียนเข้าใจว่า เหตุผลเรื่องชราภาพนั้นน่าจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญจริงๆ เพราะต่อมาหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียง 3 วัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแต่งตั้งให้กรมพระยาดำรงฯทรงดำรงตำแหน่งหนึ่งในห้าของคณะอภิรัฐมนตรี โดยทรงมีพระราชประสงค์ที่ให้คณะอภิรัฐมนตรีทำหน้าที่คล้ายกับคณะรัฐมนตรี ที่ผู้มีหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของรัฐประชุมกันเพื่อตัดสินใจในการงานของรัฐ และกรมพระยาดำรงฯในพระชนมายุ 63 ปีก็ทรงรับการแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญดังกล่าวนี้

แต่สาเหตุที่แท้จริงในการลาออกคือ ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯกับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยข้อมูลจาก “เรือนไทย.วิชาการ.คอม http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1816.15” กล่าวว่า

“ในประเด็นเรื่องที่รัชกาลที่ ๖ ไม่ทรงพอพระทัยกรมพระยาดำรงนั้น มีพระราชบันทึกส่วนพระองค์ที่พระราชทานไปยังสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ว่า สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ คือ ผู้ที่อยู่หลังฉากในการที่พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ และนายเซียวฮุดเส็ง รวมตลอดทั้งบุคคลอื่นๆ เขียนบทความโจมตีรัฐบาลโดยเฉพาะพระองค์รัชกาลที่6ในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอๆ ทรงพระราชวิจารณ์เป็นการโจมตีโดยไม่สร้างสรรค์ มุ่งหวังทำลายพระองค์และรัฐบาล ซึ่งหากย้อนไปดูประวัติศาสตร์ในตอนปลายรัชกาลที่ 5 ได้ทรงให้สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการและสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะทรงเป็นพระอภิบาลรัชกาลที่ 6 ในยามที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว

และเมื่ออ่านในประวัติต้นรัชกาลที่ 6 นั้น จะทรงพระราชบันทึกเป็นนัยๆ ไว่ว่า มีเจ้านายบางพระองค์พยายามที่จะมาครอบพระองค์ไว้ แต่ทรงขัดขืนด้วยการทรงนิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้เจ้านายพระองค์นั้นไม่พอพระทัย ก็ชวนให้คิดว่าเจ้านายพระองค์นั้นก็คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการนั้นทรงให้ความเคารพและทรงยกย่องเป็นอัครมหาเสนาบดีถึงกับได้พระราชทานยศพิเศษเป็น มหาอำมาตย์นายกซึ่งเป็นยศชั้นสูงสุดของข้าราชการพลเรือนเทียบเท่าจอมพล พร้อมกับเจ้าพระยายมราช

ในเรื่องนี้ ดร.สนธิ เตชานันท์ ได้เคยเขียนไว้ในวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ว่า สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้พยายามปล่อยข่าวว่า รัชกาลที่ 6 จะทรงตั้งพระองค์เป็นอัครมหาเสนาบดี แต่เมื่อไม่ทรงตั้ง จึงทรงประท้วงด้วยการลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีมหาดไทย โดยหวังว่า รัชกาลที่ 6 จะทรงง้อ แต่ผิดคาด โปรดให้ออกไปเลยและทรงตั้งเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาเป็นเสนาบดีมหาดไทยแทน”

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่สาม)

            พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ                                      สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

จากกรณีความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ผู้เขียนอยากจะชวนให้ท่านผู้อ่านพิจารณารายพระนามและรายนามของเสนาบดีกระทรวงต่างๆในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังที่จะไล่เรียงต่อไปนี้ กระทรวงมหาดไทย: พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ (พระชนมายุน้อยกว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ 9 ปี)

กระทรวงกลาโหม: นายพลตรี พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ (พระชนมายุน้อยกว่า 10 ปี)

กระทรวงธรรมการ: พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) แม้ว่าจะอายุมากกว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ 4 ปีแต่ก็ถือว่าไม่มากนัก อีกทั้งพระยาภาสกรวงศ์ถือเป็นขุนนางที่สนิทใกล้ชิดพระมหากษัตริย์จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “สยามหนุ่ม” (Young Siam) ที่อยู่ภายใต้การนำของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯในการดึงอำนาจคืนมาจากกลุ่มขุนนางภายใต้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยงวงศ์ได้สำเร็จ อีกทั้งเป็นผู้ถวายคำแนะนำในการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 ที่ถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินให้เข้าสู่การเป็นรัฐสมัยใหม่และดึงอำนาจกลับสู่พระมหากษัตริย์ด้วยในเวลาเดียวกัน

กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ในกรณีนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลามีสถานะเป็น “พระปิตุลา (อา)” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลาทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แม้ว่าจะทรงเป็น “พระปิตุลา (อา)” แต่ก็เป็นพระปิตุลาที่มีพระชนมายุอ่อนกว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯถึง 15 ปีและทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯอย่างยิ่ง และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลาก็ถือว่าเป็น “พระบรมวงศานุวงศ์ที่อยู่ในฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ” อย่างชัดเจน ในขณะที่ยังมีอีกฝักฝ่ายที่อยู่ข้างกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (วังหน้า)

กระทรวงต่างประเทศ: เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ได้รับแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเป็นประธานสมาคมสยามหนุ่ม และดอกเตอร์แซมมูเอล สมิธ หรือ “หมอสมิธ” มิชชันนารีชาวอเมริกันได้เขียนบทความกล่าวถึง “พระยาภาณุวงศ์ฯ” ว่าเป็นผู้นำกลุ่มสยามหนุ่มร่วมกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ( ดู Siam Repository, Volume 5 No. 1, 31 July 1873, pp. 451-452.)

กระทรวงนครบาล: พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ มีสถานะเป็น “พระราชอนุชา” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีพระชมนายุอ่อนกว่า 2 ปี

กระทรวงยุติธรรม: พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ มีสถานะเป็น “พระราชอนุชา” เช่นกัน และมีพระชนมายุอ่อนกว่าถึง 12 ปี

กระทรวงโยธาธิการ: พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ (กล่าวไปแล้วข้างต้น) ทรงดำรงตำแหน่งกระทรวงโยธาธิการเพียงปีเดียวในช่วงตั้งกระทรวงขึ้น ระหว่าง 1 เมษายน พ.ศ. 2435 ถึง 20 มีนาคม พ.ศ. 2436 ต่อมาผู้ดำรงตำแหน่งคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ มีสถานะเป็น “พระราชอนุชา” มีพระชนมายุอ่อนกว่า 4 ปี

กระทรวงวัง: พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม มีสถานะ “พระราชอนุชา” มีพระชนมายุอ่อนกว่า 3 ปี ดำรงตำแหน่งเสนาบดีอยู่ประมาณ 1 ปี ต่อมาผู้ดำรงตำแหน่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เป็น “พระราชอนุชา” และมีพระชนมายุอ่อนกว่า 3 ปี

ความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (ตอนที่สาม)

 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

จากข้างต้น จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงต่างๆในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นรัชสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงริเริ่มการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินจัดตั้งกระทรวงทบวงกรมด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก และก่อนหน้านี้ที่การปกครองยังเป็นแบบเดิมคือ จตุสดมภ์ เสนาบดีกรมต่างๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครือญาติและคนของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ หลังจากจัดตั้งกระทรวงทบวงกรมแล้ว จะพบว่า เมื่อแรกก่อตั้งกระทรวงต่างๆนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ “พระราชอนุชา” ของพระมหากษัตริย์และมีพระชนมายุน้อยกว่าพอสมควร----ยกเว้นพระองค์เดียวคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์-------ก็เป็น “ขุนนางที่เป็นคนของพระมหากษัตริย์”

และหากเปรียบเทียบกับรายพระนามและรายนามของเสนาบดีกระทรวงต่างๆในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เราจะเริ่มเห็นปัญหาในการใช้พระราชอำนาจของพระองค์ ดังที่จะได้ไล่เรียงให้เห็นจากรายพระนามเสนาบดีกระทรวงต่างๆในตอนต่อไป

นอกจากปัญหาเรื่องสถานะความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับเสนาบดีกระทรวงต่างๆแล้ว ปัจจัยอีกประการหนึ่งในปัจจัยต่างๆที่เป็นประเด็นที่ส่งผลให้เกิดปัญหาในการใช้พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯก็คือ เงื่อนไขการสืบราชสันตติวงศ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังจะได้กล่าวในตอนต่อไปเช่นกัน

 

ข่าวล่าสุด

แข้งไทยช็อก! นำ 2 ตุง กลับพลิกแพ้ เวียดนาม 2-3 แค่รองแชมป์ซีเกมส์