45 ปี 6 ตุลาฯ (ตอนที่สิบหก): แนวโน้มการครองอำนาจยาวนานของผู้นำทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงระหว่างและหลังสงครามเย็น
.
โดย....ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
****************
นาย ลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ อยู่ในอำนาจต่อเนื่องกันเป็นเวลา 31 ปี (พ.ศ. 2502 – พ.ศ. 2533)
ประธานาธิบดีมาร์กอสของฟิลิปปินส์ อยู่ในอำนาจเกือบ 21 ปี (พ.ศ. 2508-2529)
ประธานาธิบดีซูฮาร์โตแห่งอินโดนีเซีย อยู่ในอำนาจเป็นเวลา 32 ปี (พ.ศ. 2510-2541)
ไกสอน พมวิหาน นายกรัฐมนตรีลาว อยู่ในอำนาจเกือบ 16 ปี (พ.ศ. 2518-พ.ศ. 2534)
ฝั่ม วัน ดง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม อยู่ในอำนาจ 32 ปี (พ.ศ. 2498 –พ.ศ. 2530)
มาฮาดีร์ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อยู่ในอำนาจนาน 22 ปี (พ.ศ. 2524-พ.ศ. 2546)
ประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐพม่า คือ พลเอกอาวุโส ซอมองและพลเอกอาวุโส ต้านชเว ที่อยู่ในอำนาจนานถึง 23 ปี (พ.ศ. 2531-2554)
ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อยู่ในอำนาจจนปัจจุบันเป็นเวลา 37 ปี (พ.ศ. 2528- )
จากข้างต้น ดูเหมือนว่า “เทรนด์” (trend) หรือ “เส้นทางที่จะต้องเป็นเช่นนั้น” ของการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงนั้น (และบางทีอาจจะรวมถึงปัจจุบันด้วย) คือ ผู้นำทางการเมืองอยู่ในอำนาจยาวนาน ส่วนผู้นำไทยที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุด ยังคงเป็น จอมพล ป พิบูลสงคราม นั่นคือ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2481ถึง 2487 และ 2491 ถึง 2500 รวมระยะเวลา 14 ปี 11 เดือน นับเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด แต่ไม่ได้ต่อเนื่องเหมือนผู้นำอื่นๆในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กล่าวไปข้างต้น และระยะเวลาการครองอำนาจครั้งแรกของจอมพล ป. คือประมาณ 6 ปี (พ.ศ. 2481-2487) ส่วนครั้งหลังเกือบ 9 ปี (พ.ศ. 2491-2500)
ขณะเดียวกัน การครองอำนาจครั้งหลังของจอมพล ป. ก็มีลักษณะที่แตกต่างไปจากครั้งแรก รองจาก จอมพล ป. คือ จอมพลถนอม กิตติขจร อยู่ในอำนาจ 10 ปี (พ.ศ. 2506-2516) ต่อจากจอมพลถนอม คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อยู่ในอำนาจ 8 ปี (พ.ศ. 2523-2531) และคนที่อาจจะกำลังมาเท่าพลเอกเปรม คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อยู่ในอำนาจมาแล้ว 7 ปี ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ถ้าถึงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ก็จะครบ 8 ปีพอๆกับพลเอกเปรม
แต่ถ้านับอายุการครองอำนาจของผู้นำทางการเมืองของไทยกับผู้นำในประเทศเพื่อนบ้าน ของเราก็ยังถือว่าน้อยกว่าเขามาก เพราะของที่อื่นอย่างต่ำคือ 16 ปีในกรณีของไกสอน พมวิหาน นายกรัฐมนตรีลาว
สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ผู้นำทางการเมืองของเราอยู่ในอำนาจไม่นานเหมือนที่อื่นก็คือ เรามีการทำรัฐประหารบ่อยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ !!จากการครองอำนาจยาวนานของผู้นำทางการเมืองโดยรวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้ผู้อ่านท่านหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตมาว่า “การอยู่ในอำนาจยาวนานของผู้นำในภูมิภาค SEA แต่ละประเทศ สุดท้าย ผลลัพธ์แตกต่างกันมาก เนื่องจากอะไร ? คอรัปชั่น หรือ การบริหารที่ล้มเหลว ?”
“บางคนเป็นกลายเป็นวีรบุรุษ บางคนกลายเป็นทรราช ไม่มีแผ่นดินอยู่”และ ตกลงแล้ว “การอยู่นาน เป็นข้อดี หรือข้อเสีย ?”
ในการตอบคำถามข้างต้น คงต้องเริ่มจากการตอบคำถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้ผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กล่าวไปข้างต้นอยู่ในอำนาจยาวนาน ? และในการตอบคำถามนี้ ผู้เขียนจะขอแบ่งประเทศออกเป็น 2 กลุ่ม นั่นคือ กลุ่มประเทศสังคมนิยม กับ ไม่เป็นสังคมนิยม เพราะอย่างน้อย การเป็นสังคมนิยมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้นำในกลุ่มประเทศสังคมนิยมอยู่ในอำนาจยาวนาน เพราะประเทศสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยส่วนใหญ่จะมีพรรคการเมืองพรรคเดียว ยกเว้นกัมพูชาที่ “ดูเหมือนว่า” จะมีพรรคฝ่ายค้าน !
จะขอกล่าวถึงประเทศสังคมนิยมที่ไม่มีพรรคฝ่ายค้าน อันได้แก่ เวียดนาม ลาว ซึ่งทั้งสองประเทศนี้มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว นั่นคือ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งพรรคทั้งสองนี้จะมีอำนาจในสภาและสภาจะมีอำนาจในการกำหนดตัวและเลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำฝ่ายบริหารหรือหัวหน้ารัฐบาล ในแง่นี้ ไม่ต่างจากจีน และจากการที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียว ผู้นำทางการเมืองจึงมีแนวโน้มอยู่ในอำนาจยาวนาน ไม่ต่างจากของจีน
ในกรณีของเวียดนาม ที่นายฝั่ม วัน ดง ที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 32 ปี (พ.ศ. 2498 –พ.ศ. 2530) นั้น ต้องเข้าใจว่า ในช่วง 20 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2498-2518 เป็นช่วงที่เวียดนามอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่าเป็นภาวะสงครามมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นสงครามการต่อสู้เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมเดิม และต่อมาในช่วงสงครามเย็น เข้าสู่ “สงครามเวียดนาม” เป็นการต่อสู้เพื่อสถาปนารัฐสังคมนิยมในเวียดนามและในอินโดจีน ดังนั้น ในช่วง 20 ปีที่เป็นช่วงแห่งการทำสงคราม จึงไม่แปลกที่เวียดนามจะมีผู้นำเพียงคนเดียวที่ครองอำนาจยาวนาน ซึ่งก่อนหน้าที่นายฝั่ม วัน ดงจะเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ดำรงตำแห่งนี้คือนายโฮจิมินห์ แต่ตอนที่โฮจิมินห์ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้ ตำแหน่งนี้เรียกว่า “ประธานสภารัฐบาลแห่งรัฐที่หนึ่ง” เป็นตำแหน่งที่ควบรวมทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี โดยเขาอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้เป็นเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2488 –พ.ศ. 2498) หลังปี พ.ศ. 2498 ขณะนั้นเขาอายุได้ 65 ปี เขาได้ไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม โดยมีนายฝั่ม วัน ดงขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โฮจิมินห์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม จนเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2512 ในขณะที่มีอายุ 79 ปี หากเขายังไม่ตาย ก็คงจะดำรงตำแหน่งต่อไป
ส่วนนายฝั่ม วัน ดงมีอำนาจได้ก็ด้วยอิทธิพลของโฮจิมินห์ เพราะเขาเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีที่สุดของโฮจิมินห์ แต่หลังจากที่โฮจิมนห์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2512 อิทธิพลของนายฝั่ม วัน ดงก็ลดลงไปมาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปจนปี พ.ศ. 2530 ก็ตาม (ฝั่ม วัน ดง พ้นจากตำแหน่งเมื่อเขาอายุ 82 ปี) และหลังจากรวมประเทศเวียดนามเหนือและใต้ได้ในปี พ.ศ. 2518 อำนาจทางการเมืองได้ไปอยู่ที่นายเล สวน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นเวลาถึง 26 ปี (พ.ศ. 2513-2539) และสาเหตุของการพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯก็ไม่ใช่อะไรนอกจากเขาได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายในวัย 79 ปี หากไม่ตาย เขาก็คงจะครองอำนาจต่อไปอีก
โฮจิมินห์ ฝั่ม วัน ดง เล สวน
ดังนั้น แม้ว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันยาวนานถึง 32 ปีของนายฝั่ม วัน ดง เขาจะมีอำนาจจริงๆในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2498-2512 (14 ปี) และหมดอำนาจอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 2518 และนายเล สวนคือผู้มีอำนาจตัวจริงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เล ดวนก็อยู่ในอำนาจนานถึง 26 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2513-2539 และช่วงที่เขามีอำนาจอย่างแท้จริงคือ หลัง พ.ศ. 2518-2539 เป็นเวลา 26 ปี
กล่าวได้ว่า มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้นำเวียดนาม ไม่ว่าเป็นจะเป็นโฮจิมินห์ ฝั่ม วัน ดง และ เล สวน อยู่ในอำนาจยาวนาน คือ หนึ่ง การอยู่ในภาวะสงครามและ สอง การเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และภายใต้ปัจจัยทั้งสองหรือเฉพาะปัจจัยหลังนี้ เราจะพบว่า ในประเทศสังคมนิยมส่วนใหญ่ ผู้นำมักจะอยู่ในอำนาจยาวนาน เช่น ในกรณีของคิวบา ฟิเดล กัสโตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. 2502-2519 (17 ปี) และหลัง พ.ศ. 2519 เขาได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปจนถึง พ.ศ. 2551 (32 ปี) อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์นับแต่ก่อตั้งพรรคในปี พ.ศ. 2504 จนถึง พ.ศ. 2554 (50 ปี) เหตุผลที่เขาลงจากตำแหน่ง ก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากปัญหาสุขภาพ และผู้นำต่อจากเขาก็คือ ราอุล กัสโตร น้องชายของฟิเดล กัสโตร
ฟิเดล กัสโตร ราอุล กัสโตร
ส่วนการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานของผู้นำประเทศที่ไม่ได้เป็นสังคมนิยมก็ไม่ได้น้อยหน้าประเทศสังคมนิยม เพราะอย่างในกรณีของสิงคโปร์ แม้ว่าจะมีพรรคฝ่ายค้าน แต่นายลี กวนยู เป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันนานถึง 31 ปี และนายโกว โจ๊กโตง นายกรัฐมนตรีต่อจากนายลี ก็อยู่ในอำนาจนานถึง 14 ปี ต่อมาผู้ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สามของสิงคโปร์คือ นายลี เซียนลุง บุตรชายของนายลี กวนยู
ลี กวนยู โกว โจ๊กโตง ลี เซียนลุง
นายลี เซียนลุงเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 จนบัดนี้ ก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ รวมเวลาแล้วก็แค่ 18 ปีเอง ยังเหลืออีก 13 ปีถึงจะครองอำนาจนานได้เท่านายลี ผู้พ่อ นายลี เซียนลุงเกิดปี พ.ศ. 2495 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้ เขาจะมีอายุครบ 70 ปี นายลี กวนยูผู้พ่อลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตอนอายุ 67 หลังจากอยู่ในตำแหน่งนี้มาเป็นเวลา 31 ปี แม้ว่าจะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่นายลีก็ยังไม่ได้วางมือทางเมือง !


