posttoday

ตำนานสุนทราภรณ์ (5)

08 กุมภาพันธ์ 2565

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

*************

ปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งในความยิ่งใหญ่ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ คือ พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ในเนื้อเพลง “พระเจ้าทั้งห้า” เพลงสุดท้ายในชีวิตของครูเอื้อที่ตั้งใจแต่งและร้องฝากไว้ กล่าวถึง “พระเจ้าองค์ที่สอง” ว่าคือ “ชาติ ศาสนา มหาทรงธรรม์ พระเจ้าอยู่หัวมิ่งขวัญราชันภูมิพล”

หนังสือชุดตำนานสุนทราภรณ์ เล่ม 2 ตั้งชื่อว่า “ดุริยกวีสี่แผ่นดิน” เพราะครูเอื้อมีชีวิตตั้งแต่รัชสมัยของรัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลที่ 9 ซึ่งครูเอื้อมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “พระเจ้าอยู่หัวมิ่งขวัญราชันภูมิพล”

ครูเอื้อในวัยเด็กได้เข้าเรียนใน “โรงเรียนพรานหลวง” ซึ่งก่อตั้งโดยรัชกาลที่ 6 ได้เรียนทั้งวิชาสามัญ และวิชาการดนตรี และได้เข้ารับราชการตั้งแต่เมื่ออายุได้ 14 ขวบ ในกองเครื่องสายฝรั่งหลวง กรมมหรสพ ได้รับพระราชทานยศเป็น “เด็กชา” ความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์จึงมีมาแต่เยาว์วัย ที่สำคัญสมเด็จ พระมหาธีรราชเจ้า ทรงเป็นกษัตริย์นักประพันธ์และทรงเป็นกวี เพลงที่ครูเอื้อแต่งตั้งแต่ช่วงแรกๆ ก็ได้ “พึ่งพระบารมี” จากบทประพันธ์ของรัชกาลที่ 6 ทั้งเพลงประเภท “ปลุกใจ” และเพลงรัก ได้แก่ “เพลงคำปฏิญาณ”

ที่ขึ้นต้นว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับใส ...” “เพลงไทยสามัคคี” ที่ขึ้นต้นว่า “อย่าเห็นแก่ตัวมัวพะวง ลุ่มหลงริษยาไม่ควรที่ ...” “เพลงไทยรวมกำลัง” ที่ขึ้นต้นว่า “ไทยรวมกำลัง ตั้งมั่น จะสามารถป้องกันขันแข็ง ...” “เพลงไร้รักไร้ผล” ที่ขึ้นต้นว่า “เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ควรคำนึงถึงชาติศาสนา ...” “เพลงปลุกไทย” ที่ขึ้นต้นว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์...”

ส่วนเพลงรัก ที่หลายคนไม่รู้ว่าเนื้อร้องมาจากพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ได้แก่ “เพลงสาส์นรัก” ที่ขึ้นต้นว่า “ในลักษณ์นี้ว่าน่าประหลาด เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า...” ซึ่งมาจากพระราชนิพนธ์เรื่อง “ท้าวแสนปม” เนื้อความเป็นสาส์นของนางอุษา ราชธิดาท้าวไตรตรึงย์ ที่ตอบสาส์นบอกรักของพระชินเสนยุพราชแห่งนครศรีวิไชย ที่ปลอมตัวเป็น “ท้านแสนปม” และอีกเพลงคือ “เพลงยอดดวงใจ” ที่ขึ้นต้นว่า “โอ้ว่าดวงใจ อยู่ไกลลิบ เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์สวรรค์...” ก็มาจากพระราชนิพนธ์เรื่องท้าวแสนปม เป็นบทรำพึงรำพันถึงความรักของนางอุษา ที่มีต่อพระชินเสน

ต่อมาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงได้รับยกย่องว่าเป็น “เอกอัครศิลปิน” ซึ่งทรงเชี่ยวชาญในศิลปะหลายสาขา รวมทั้งการดนตรีคือดุริยางคศิลป์ ทรงไว้วางพระราชหฤทัยและทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อครูเอื้ออย่างยิ่ง ทรงเริ่มเรียนดนตรีกับครูชาวอัลซาส์ ชื่อนายเวย์เบรชต์ (Weybrecht) ตั้งแต่มีพระชนมพรรษา 13 พรรษา และทรงพระราชนิพนธ์เพลงแรกคือเพลงแสงเทียนเมื่อมีพระชนมพรรษา 18 พรรษา ใน พ.ศ.2489

ขณะนั้นวง สุนทราภรณ์ถือกำเนิดมาได้ 7 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางแล้ว เพลงพระราชนิพนธ์ที่ “เชื่อมโยง” ครูเอื้อโดยตรง คือ “เพลงยามเย็น” ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ นิพนธ์ เนื้อร้อง แต่ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ “อ่านโน้ตไม่คล่อง จึงต้องอาศัยนักดนตรี โดยได้กราบบังคมทูลไว้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าตรงไปหานายเอื้อ สุนทรสนาน ให้เขาอ่านโน้ตให้ ข้าพเจ้าก็ได้ทำนองก่อนแต่งคำ .....นายเอื้อว่า ‘ของท่านดีเหมือนกันแฮะ จังหวะดีมาก ทำนองสมัยใหม่ แต่มีเสียงแหม่งๆ สองสามเสียงพิกลอยู่’” ซึ่งเรื่อง “เสียงแหม่ง” นี้ครูเอื้อกราบบังคมทูลว่า “ฟังทีแรกมันแหม่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าพเจ้าต้องใช้หูประชาชนมาพิจารณาเพลง เพราะเคยชินกับการเสนอเพลงต่อประชาชน ฉะนั้นที่ว่าแหม่งสำหรับหูประชาชนทั่วไปฟัง แต่ในทางวิชาการ เสียงครึ่งหนึ่งของเพลงสากลเป็นธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”

ครูเอื้อนำเพลงยามเย็นไปให้ “บิลลี่” นักดนตรีฟิลิปปินส์ ซึ่งต่อมามีชื่อไทยคือ คีติ คีตากร ซึ่งเป็นนักเรียบเรียงเสียงประสานที่มีฝีมือสูง ดูแล้วชมว่า “เจ้านายแต่งเก่งมาก...” ไม่ได้ว่าแหม่งเลย “นักดนตรีชอบมาก” และประชาชนก็ “พอใจและตื่นเต้นกันมากพ่ะย่ะค่ะ” (เล่ม 1 หน้า 62-63)

เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จไปศึกษาต่อและเสด็จนิวัติพระนครเป็นการถาวรเมื่อ พ.ศ. 2493 ครูเอื้อได้แต่งเพลงถวายเป็นเพลงแรก คือ “เพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น” โดยครูเอื้อ “นำเอาแนวของเสียงแตรสังข์ในพิธีพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และแตร Fanfare มาเป็นบทขึ้นต้นที่มีความสง่า โอ่อ่ามาก ...” (เล่ม 3 น.48) และต่อมาก็มีเพลงต่างๆ ออกมาอีกมาก ได้แก่ “เพลงฑีฆายุโก โหตุ มหาราชา” แต่งเมื่อ พ.ศ. 2493 เพื่อขับร้องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม

“เพลงพระบารมีปกเกล้า” แต่งถวายเมื่อนิวัตพระนครจากการเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2503 ต่อมาคือ “เพลงร่มเกล้า” ในภาพยนตร์เรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ของบริษัทละโว้ภาพยนตร์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ “เพลงเหนือเกล้า” แต่งถวายในงานคีตมงคล พ.ศ. 2509 และในภายหลัง วงดนตรีสุนทราภรณ์ยังได้แต่งเพลงถวาย ได้แก่ “เพลงสยามราชันย์” นำเสนอในโอกาสงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกทรงครองราชย์ครบ 50 ปี “เพลงนวรัชจักรีมหาราชา” แต่งถวายในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา “เพลงถวายสัจจา” แต่งถวายในโอกาสทรงครองราชย์ครบ 60 ปี เมื่อ พ.ศ. 2549 “เพลงถวายพระพร” แต่งในโอกาสทรงครองราชย์ครบ 60 ปี พ.ศ. 2550

นอกจากแต่งเพลงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ครูเอื้อยังแต่งเพลงถวายสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ และพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ แสดงถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะ “พระเจ้าองค์ที่สอง” ของครูเอื้ออย่างแนบแน่น

และครูเอื้อก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโดยเฉพาะจาก “พระเจ้าอยู่หัวมิ่งขวัญราชันภูมิพล” โดยเมื่อทรงเถลิงราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ได้ทรงดนตรีรวมวงกิตติมศักดิ์เป็นครั้งแรก ก็โปรดเกล้าฯ ให้ครูเอื้อร่วมวงด้วย ในการฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์เพื่อหารายได้เพื่อการกุศล ก็มีวงดนตรีสุนทราภรณ์ไปร่วมแสดงเสมอ

“เมื่อทรงทราบว่าครูเอื้อป่วยด้วยโรคร้าย ก็ทรงพระราชทานพระเมตตา ทรงห่วงใยและทรงแนะนำในการบำบัดด้วยการควบคุมจิตใจให้สงบโดยอาศัยพระธรรม และแนวปฏิบัติทางจิตตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งช่วยให้ยังมีชีวิตยืนยาวต่อมาเกินความคาดหมายของแพทย์แผนปัจจุบันเป็นเวลาแรมปี”

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ครูเอื้อและคณะกรรมการสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทบนพระตำหนักรับสั่งให้ครูเอื้อนั่งเก้าอี้เสมอพระเก้าอี้ที่พระองค์ท่านประทับขณะที่รับสั่งเกี่ยวกับเรื่องพระธรรม และการปฏิบัติจิตให้สงบด้วยวิถีทางแห่งพระพุทธศาสนา เป็นวาระสุดท้าย ทั้งนี้เพื่อให้ครูเอื้อ ได้ยังชีวิตเพื่อประโยชน์แก่เพื่อร่วมอาชีพและบรรดาศิษย์ทั้งหลายอีกต่อไป แล้วพระราชทานเหรียญหลวงปู่แหวน มีพระนามาภิไธย ภ.ป.ร. อยู่ด้านหลัง แด่ครูเอื้อ สุนทรสนาน ทั้งนี้เป็นการเฝ้าวาระสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ของครูเอื้อ สุนทรสนาน” (เล่ม 1 น. 65)

ครูเอื้อร้อง “เพลงพรานทะเล” เป็นเพลงสุดท้ายในชีวิต เพื่อกราบบังคมลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เมื่อปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2523 ก่อนจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2524

****************

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา