45 ปี 6 ตุลาฯ (ตอนที่สิบเอ็ด): “สหรัฐอเมริกากับการรัฐประหารในลาว พ.ศ. 2502”
โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
************************
ตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึง ปฏิกิริยาของของนายเฮนรี่ คาบอท ลอดจ์ (Henry Cabot Lodge Jr.)เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติต่อความเห็นเกี่ยวกับการวางแผนสนับสนุนการรัฐประหารในลาวโดยเจ้าหน้าที่ซีไอเอของนายด๊าก ฮัมมาร์เฮิลด์ เลขาธิการสหประชาชาติ โดยนายลอดจ์ได้โทรเลขรายงานกลับที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯแจ้งว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่จะไปยุ่งเรื่องรัฐประหารในลาว
สำหรับรายงานดังกล่าวของนายลอดจ์ ได้สร้างความแปลกใจและประหลาดใจให้กับแม้แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯที่ได้อ่านโทรเลขดังกล่าว และเจ้าหน้าที่ผู้นั้นถึงกับใส่เครื่องหมาย “!!” ถึงสองครั้งกำกับข้อความดังกล่าวในแฟ้มเอกสารวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2502
มีผู้รู้ด้านการต่างประเทศของไทยท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นต่อโทรเลขและปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศผู้นั้นว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงฯผู้นั้นจะทำหน้าที่ประจำอยู่ “โต๊ะลาว”
คำว่า “โต๊ะ” นี้เป็นคำที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยใช้เรียกงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เช่น ถ้ากล่าวว่า ทำงานอยู่ “โต๊ะลาว” ก็หมายถึงดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวกับลาว ไม่ว่าจะเป็นการเมืองภายในหรือระหว่างประเทศ ซึ่ง “โต๊ะลาว” นี้จะอยู่ภายใต้กรมกองอะไรที่รับผิดชอบกว้างขวางครอบคลุมเป็นภูมิภาค เช่น “โต๊ะชิลิ” อยู่ภายใต้ “กองลาตินอเมริกา” และอยู่ใต้ “กรมอเมริกาและแปซิฟิคใต้” อีกทีหนึ่ง และยังมีกองอีกสองกองที่อยู่ใต้ “กรมอเมริกาและแปซิฟิคใต้” นั่นคือ กองอเมริกาเหนือกับกองแปซิฟิกใต้
คนที่ทำงานอยู่ “โต๊ะ” ประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมจะพบเห็นข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศนั้นมากกว่าคนที่ไม่ได้ประจำโต๊ะนั้นๆ และแน่นอนว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างกระทรวงต่างประเทศฯกับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงเวียงจันทน์ย่อมจะต้องผ่านตาเขาอยู่ตลอดเวลา จนมองเห็นภาพอะไรบางอย่าง พูดง่ายๆก็คือ เขาจะรู้ “สายสนกลใน” ในลาวดีกว่านายเฮนรี่ คาบอท ลอดจ์ (Henry Cabot Lodge Jr.) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ และมีความมั่นใจในความรู้ของตนมากถึงขนาดกล้าใส่เครื่องหมาย “!!” กำกับลงไปได้ ในใจของเจ้าหน้าที่ฯผู้นั้นคงคิดว่านายลอดจ์นี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรในลาวเสียเลย !!!!
และผู้รู้ด้านการต่างประเทศของไทยท่านนั้นยังกล่าวต่ออีกว่า นายลอดจ์ ที่นั่งทำงานเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติจะไปรู้อะไร น่าจะซื่อบื้อเรื่องลาวและยังอุตส่าห์โทรเลขกลับไปโชว์โง่ที่หาญตอบนายฮัมมาร์เฮิลด์ เลขาธิการสหประชาชาติไปว่า “ไม่มีอะไรในลาว” ได้หน้าตาเฉย เจ้าหน้าที่สหรัฐฯประจำ “โต๊ะลาว” คงนั่งนึกอายแทนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และจะยิ่งหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ หากในเวลาต่อมา ความจริงมันเปิดเผยออกมาว่า เจ้าหน้าที่ซีไอเอในลาวมีส่วนอย่างยิ่งต่อการเกิดรัฐประหารในลาว
คำถามอีกคำถามหนึ่งที่ผู้เขียนได้ตั้งไว้ในตอนก่อนๆคือ “จริงหรือที่สหรัฐฯอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารอย่างที่นายฮัมมาร์เฮิลด์ เลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวกับนายลอดจ์เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติโดยเทียบเคียงกับนวนิยายเรื่อง “the Quiet American” ของเกรแฮม กรีน (Graham Greene) นักเขียนชาวอังกฤษ ?”
ในการตอบคำถามดังกล่าว คงต้อนย้อนกลับดูปฏิกิริยาของนายกรัฐมนตรีลาวที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของตน
สำหรับนายผุย ชนะนิกร นายกรัฐมนตรีลาวขณะนั้น เขาเห็นว่า การเกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังกองโจรกับกองกำลังของรัฐบาลในช่วงกรกฎาคม พ.ศ. 2502 นั้น ส่วนหนึ่งมีกองกำลังต่างชาติ อันได้แก่ จีนและเวียดนามเหนือได้เข้าทำการแทรกแซงสถานการณ์ทางการเมืองในลาว แต่รายงานของคณะกรรมาธิการหาข้อเท็จจริงจากองค์การสหประชาชาติไม่ได้มีข้อสรุปที่ชัดเจนต่อประเด็นดังกล่าวนี้ ทำให้ความหวังที่นายผุยจะได้รับความช่วยเหลือจากสหประชาชาติเลือนราง และดูเหมือนว่า คำแนะนำที่ได้จากทางคณะกรรมาธิการดังกล่าวกลับมีทีท่าโน้มเอียงให้ลาวทำการเจรจากับเวียดนามเหนือ อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯก็ไม่แสดงท่าทีช่วยเหลือแต่อย่างใดด้วย
นายผุยจึงตัดสินใจเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อชี้แจงด้วยตัวเอง แต่ก่อนที่เขาจะได้มีโอกาสไปชี้แจงต่อที่ประชุมในองค์การสหประชาชาติ ในช่วงวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เขาได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (เป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้นำทหารของไทยไปรักษาตัวในช่วง พ.ศ. 2501 นั่นคือ ไปก่อนนายผุยราวหนึ่งปี
และการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด ของบรรดาผู้นำจากประเทศต่างๆนั้นมีนัยสำคัญไม่น้อย หรือบางทีมากด้วยซ้ำด้วย เพราะเมื่อผู้นำเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลดังกล่าว ห้องพักในโรงพยาบาลก็จะกลายเป็นที่ประชุมลับระหว่างรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ซีไอเอ-กระทรวงต่างประเทศ ฯลฯกับผู้นำนั้นๆ เพราะในห้องพักผู้ป่วย ไม่น่าจะมีทีมงานของผู้นำเข้าไปสุมหัวกันอยู่ในนั้นได้ ถ้าจะมีก็น่าจะแค่เฉพาะบางคนที่ไว้ใจได้ หรือเป็นล่าม
ในครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวอลเตอร์ รีดในปี พ.ศ. 2501 นั้น ได้มีบันทึกเป็นหลักฐานเก็บไว้ลงวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2501 เป็นบันทึกจากผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (the Director of the Office of Southeast Asian Affairs) ไปยังผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฝ่ายกิจการตะวันออกไกล (the Assistant Secretary of State for Far Eastern Affairs) ของสหรัฐฯ แต่ก่อนหน้าที่จอมพลสฤษดิ์จะเดินทางไปรักษาตัวครั้งนั้น ได้มีบันทึกจากกระทรวงการต่างประเทศไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประเทศไทยลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2501 ซึ่งบันทึกนี้น่าจะช่วยปูพื้นไปสู่บันทึกวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2501 ที่จอมพลสฤษดิ์เข้ารับรักษาตัวที่โรงพยาบาล
บันทึกจากกระทรวงการต่างประเทศไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประเทศไทยลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2501 นับว่าอยู่ภายใต้บริบทการเมืองไทยหลังจากจอมพล ป พิบูลสงคราม ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปในช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2500 รวมทั้งพลเอกเผ่า ศรียานนท์ที่เดินทางไปสวิสเซอร์แลนด์ อันเป็นผลจากการทุจริตครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ส่งผลให้พรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. และเครือข่ายเอาชนะการเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ได้ชื่อว่าสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะมีการใช้กลโกงต่าง ๆ สารพัด ผลการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร พรรคเสรีมนังคศิลาได้รับเลือกตั้งมาทั้งหมด 6 คน และผลรวมทั้งประเทศได้ 83 คน จากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 160 คน แต่ผลการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลไม่เป็นที่ยอมรับได้จากประชาชน วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนทั่วไปได้เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งไปยังทำเนียบรัฐบาล มีการลดธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยการเลือกตั้ง เหตุการณ์บานปลายต่อเนื่องจนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และกลุ่มทหารของจอมพล ป. และกลุ่มตำรวจของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์
หลังจากนั้น นายพจน์ สารสิน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี พจน์ สารสิน ผู้เคยดำรงตำแหนงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน และถือเป็นนายกรัฐมนตรี “ขัดตาทัพ” เป็นการชั่วคราว เข้าใจว่าที่ให้นายพจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะต้องการให้ได้รับการยอมรับจากเวทีการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงปี พ.ศ. 2495-2500 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและทำหน้าที่ผู้แทนของประเทศไทยประจำองค์การสหประชาชาติ และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2500 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ./SEATO)
เพราะจากรายงานการติดต่อระหว่างกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯและสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยมีความกังวลว่า การเปลี่ยนจากรัฐบาลที่จอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2491 จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของไทยต่อสหรัฐฯและต่อ SEATO และคอมมิวนิสต์หรือไม่ ซึ่งภาพลักษณ์และประวัติการทำงานของนายพจน์สามารถทำให้สหรัฐฯคลายความกังวลใจไปได้
ดูเหมือนว่าสหรัฐฯในขณะนั้น จะไม่ได้สนใจว่า การเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ยุติธรรมและผู้นำทางการเมืองไทยจะได้อำนาจมาอย่างสุจริตหรือไม่เท่ากับว่าผู้ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลจะมีนโยบายที่ตอบสนองสอดคล้องกับผลประโยชน์ของ
นายพจน์ สารสิน ได้รับมอบหมายให้ตั้งรัฐบาลและจัดการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2501 แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้คะแนนอันดับหนึ่งก็ตามแต่เสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ทางคณะทหารโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงได้รวมสมาชิกพรรคสหภูมิกับส.ส.อิสระและสมาชิกสภาประเภทสอง ตั้งรัฐบาลรับงานจากนายพจน์ สารสิน ซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่ประมาณ 3 เดือน หลังจากนั้นวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2501 พลโทถนอม กิตติขจร ได้เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
หลังจากประเทศไทยได้พลโทถนอม เป็นนายกรัฐมนตรีได้สามวัน ทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ส่งโทรเลขไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย เป็นโทรเลขจากนายโรเบิร์ตสัน (Walter Spencer Robertson) ผู้ดำรงผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฝ่ายกิจการตะวันออกไกล (ตั้งแต่ พ.ศ. 2496-2502) โดยในสาระสำคัญของโทรเลขของนายโรเบิร์ตสันที่มีไปยังนายบิชอพ (Max Waldo Bishop) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คือ เขาได้เท้าความถึงโทรเลขสองฉบับจากนายบิชอบ โดยฉบับแรกลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2500 เป็นเวลา 8 วันหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งวันที่ 15 ธันวาคม และอีกฉบับลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2500
ความในฉบับแรก นายบิชอพได้แนะนำให้สหรัฐฯทบทวนนโยบายและโครงการต่างๆที่มีต่อประเทศไทย ส่วนฉบับที่สอง ชี้ว่า “ท่าทีของประเทศไทยต่อความมั่นคงร่วมกัน คอมมิวนิสม์ และโลกเสรี ไม่มีทางที่จะถดถอยและถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คือ มีความเข้มแข็งมากขึ้น” และโทรเลขฉบับที่สองได้สรุปให้คำแนะนำต่อกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯให้คงรักษาโครงการความช่วยเหลือให้ชัดเจนในงบประมาณจำนวน 25 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ (ถ้าเทียบค่าเงินในปัจจุบันคือ 250 ล้านเหรียญ)
นายโรเบิร์ตสันจึงตั้งคำถามกลับมายังนายบิชอพว่า จากความต่างที่ขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างโทรเลขสองฉบับ “เรา (“กองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”) สงสัยว่า มีพัฒนาการอะไรเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 23—30 ธันวาคมหรือ ที่ทำให้ท่านเปลี่ยนความเห็นได้ขนาดนี้ !?
พูดง่ายๆก็คือ เพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น ใจคนเปลี่ยน ! จากเคยแนะนำให้ทบทวนงบช่วยเหลือกลับมายืนยันมั่นเหมาะว่าสถานการณ์ดี ต้องให้งบช่วยเหลือกันเต็มที มันจะอะไรขนาดนั้น ท่านทูตบิชอพไปได้ยาดีอะไรจากรัฐบาลพลโทถนอม ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือจาก จอมพลสฤษดิ์ ผู้อยู่เหนือนายกรัฐมนตรีอีกทีหนึ่ง ?


