posttoday

ตำนานสุนทราภรณ์ (2)

04 มกราคม 2565

โดย...น.พ.วิชัย  โชควิวัฒน

**************

หนังสือเล่มแรกในชุด “82 ปี สุนทราภรณ์อนุสรณ์ฝากไว้” ชื่อ “พระเจ้าทั้งห้า : ตำนานความเป็นมาของ  สุนทราภรณ์” เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีที่วงดนตรีสุนทราภรณ์มีอายุครบ 63 ปี คำว่า “พระเจ้าทั้งห้า” เป็นชื่อเพลงสุดท้ายในชีวิตของสุนทราภรณ์ ที่ครูเอื้อ สุนทรสนานมอบให้สุรัฐ พุกกะเวส ประพันธ์คำร้อง เป็นเพลงสุดท้ายที่ครูเอื้อบันทึกเสียงไว้

พระเจ้าทั้งห้า คือ (1) บิดาและมารดร (2) ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (3) ครูอาจารย์ (4) ลูกรักเมียขวัญ และ (5) ซอสุดรัก “ไวโอลิน”

หนังสือเล่มนี้หนาถึง 692 หน้า เริ่มต้นสรุป “เส้นทางแห่งตำนาน 62 ปี ของสุนทราภรณ์” เรียงลำดับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 ซึ่งเป็นวันเกิดพระเจนดุริยางค์ “นักดนตรีเอกของไทยยุครัตนโกสินทร์” จนถึง พ.ศ. 2544 ปิดท้ายด้วย รายการคอนเสิร์ต “ยอดขุนพลแห่งวงดนตรีสุนทราภรณ์” จัดที่ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม

“ข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจาก หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ และข้อเขียนจากหนังสือที่ระลึก   สูจิบัตร  งานคอนเสิร์ตของบรรดาศิลปิน ครูเพลง นักร้อง นักดนตรีที่มีชื่อเสียง”

ต่อจากนั้นเป็นเรื่องราวตามลำดับ “พระเจ้าทั้งห้า” ตามหลักฐานเอกสาร คำบอกเล่า ทั้งเรื่องราวชีวิตเบื้องหลังความเป็นมาของเพลงบางเพลง รวมทั้งเนื้อเพลงสำคัญๆ จำนวนมาก โดยเนื้อเพลงได้ผ่าน “การสังคายนาเนื้อเพลง โน้ตเพลงสุนทราภรณ์ทั้งหมด” ที่ได้จัดทำในโอกาสงานฉลอง 60 ปี วงดนตรีสุนทราภรณ์ ที่จัดเมื่อ ปี พ.ศ. 2542

ตลอดทั้งเล่ม มีเกร็ดตำนาน เรื่องราวที่ทรงคุณค่าน่าสนใจมากมาย เช่น รวงทอง ทองลั่นธม เดิมชื่อทองก้อน คนที่ช่วยกันคิดชื่อ “รวงทอง” ให้ คือ ม.ล.ขาบ กุญชร  ครูแก้ว อัจฉริยะกุล และ ชอุ่ม ปัญจพรรค์ เมื่อครั้งได้มีโอกาสร้องเพลง “รักบังใบ” ที่ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ตั้งใจแต่งให้ และได้บันทึกเสียงไว้เป็นคนแรก เมื่อพ.ศ.2499 หลังจากญาติผู้ใหญ่พาไปฝากฝังครูเอื้อให้ฝึกฝนด้านการขับร้องเพลง ในปี พ.ศ. 2497 เมื่ออายุได้ 17 ปี ครูเอื้อ  เล่าว่าตอนร้องเพลงรักบังใบส่งกระจายเสียงทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ “บรรดาแฟนเพลงในกรมประชาสัมพันธ์ ถึงกับวิ่งกันเกรียวกราวมาดูตัวผู้ร้อง ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่และผู้อุปการะวงดนตรีได้ให้ความสนใจโทรศัพท์ มาไต่ถาม และขอฟังเพลงอีกหลายครั้งในรายการเดียวกัน” (หน้า 440) รวงทอง มีฉายา “ลูกเป็ดขี้เหร่” 

สาเหตุเพราะ “เป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตนเองมาก แต่งตัวตามใจตน .... เพราะร่างโปร่ง สุ่มไก่ ใส่รองเท้าส้นสูง เวลาเดินแลดูคล้ายลูกเป็ด ส่วนคำว่า ‘ขี้เหร่’ นั้น เรียกด้วยความเอ็นดู” (น. 442) อีกฉายาหนึ่ง คือ นักร้อง      “เสียงน้ำเซาะหิน” มาจากข้อเขียนของรัตนะ ยาวประภาษ เจ้าของฉายา “กวีร้อยแก้ว” จากสำนวนกลอนเปล่าในนามปากกา “ราช รังรอง” ในนิตยสาร “ชาวกรุง”

“รวงทอง ทองลั่นธม ... เจ้าของเสียง ... น้ำเซาะหิน

ใสและเสนาะไปด้วยกังวาน

เสียงน้ำเซาะหิน

วิเวก ... และแผ่วหายไป ...

ดังบีบหัวใจให้เสียดลึก

กระแสเสียงเยี่ยงนี้ ... สร้างทั้ง

ความหลับ และความตื่น ...

สร้างทั้ง ความสุข และความวิโยค

... ที่สุด ... สร้างทั้งความเคลิ้มเผลอ

ต่อคนที่มีความหวังสูง ให้อาดูรไปกับความเปราะ

... และสูญของหัวใจ

... คนนี้คือ ... รวงทอง ทองลั่นธม

และคนนี้คือดรุณีนางที่ “สุนทราภรณ์” ถนอมและหวงแหน

ไม่ใช่ความบอบบางแห่งเรือนร่าง ... แต่

มนต์เสียงที่สะกดผู้ยินทั่วทิศ และคนนี้เอง

... ที่โลดสู่เวหาเพลง อย่างประหลาดล้ำ

ด้วยท่วงทำนองเสียงละม้ายมัณฑนา โมรากุล อยู่มาก (น.439)

ส่วนเพลง “จำได้ไหม” ที่โด่งดังอีกเพลงของรวงทอง เป็นเพลงรัก แต่ที่มาของชื่อเพลงนี้ “ครูธาตรี” คือ วิชัย โกกิลกนิษฐ์ เล่าว่ามาจากเป็นหนี้ค่าเหล้า เมื่อถามเจ้าของร้านว่า “ทำไมมากนักล่ะ” เจ้าของร้าน พลิกสมุดให้ดูแล้วถามว่า “ยังจำได้มั้ย” คำถามนี้เลยกลายเป็นชื่อเพลงที่ทำให้รวงทองโด่งดังครองใจผู้คนยาวนาน

นักร้องประจำวงสุนทราภรณ์คู่หนึ่งคือ เลิศ-ศรีสุดา นั้น คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นสามีภรรยากัน เพราะ “ร้องคู่กันเป็นประจำ ... บอกไม่ใช่ก็หาว่าโกหก” (น. 381) เลิศ แต่งงานกับ ม.ล.ปราลี มาลากุล หลังจากรู้จักกันมาเกือบ 16 ปี คุณอาภรณ์ ภรรยาครูเอื้อ เล่าว่า ครูเอื้อ รักเลิศเหมือนลูก และครูเอื้อกับภรรยาเป็นคนไปสู่ขอ ม.ล. ปราลี กับคุณหญิงผู้เป็นมารดา ทำให้ “คุณเลิศได้คู่ครองที่ดี เป็นผู้มีสกุลรุนชาติ จนทำให้คุณเลิศสุขสบายจนวาระสุดท้ายของชีวิต (น. 382)

นักร้องในตำนานของวงดนตรีสุนทราภรณ์คนหนึ่ง คือ วินัย จุลบุษปะ เข้าสู่วงการเพลงและ “แจ้งเกิด”  จากการร้องเพลงหน้าเวทีที่โรงภาพยนตร์โอเดียน กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ เพลงแรกที่ร้องคือเพลง “ทาสน้ำเงิน” ครูสมาน (ใหญ่) นภายน ผู้ได้รับฉายา “คัมภีร์สุนทราภรณ์เคลื่อนที่” เพราะมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวของบุคคลที่อยู่ในวงดนตรีสุนทราภรณ์มากกว่าใครๆ เล่าว่าวันที่วินัยออกไปร้องเพลงทาสน้ำเงินนั้น ผู้คนในโรงภาพยนตร์ “พากันสงสัยว่าจะไปรอดหรือไม่ เพราะโดยรูปร่างหน้าตาแล้ว ไม่น่าจะมาเป็นนักร้องอะไรกับเขาได้เลย แต่พอวินัย จุลบุษปะ ขึ้นเพลงเพียงท่อนแรก ผู้ชมก็พากันเงียบกริบ เพราะน้ำเสียงที่ร้องนั้น นุ่ม ชัดเจน และมีความไพเราะมาก จึงปรบมือให้อย่างกึกก้องเมื่อร้องจบ” (น. 370) และตั้งแต่นั้นมาชื่อของวินัย จุลบุษปะ    ก็เป็นที่รู้จักและยอมรับกันไปทั่ว ปีนั้นราว พ.ศ. 2486 วินัย อายุได้ราว 21 ปี

อีกเรื่อง คือ “ชื่อเล่น” ของเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ที่ใครต่อใครเรียกว่า “พี่โจ๊ว” บ้าง “ป้าโจ๊ว” บ้าง ครูเอื้อเล่าไว้ตั้งแต่ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2509 ว่า  “เพ็ญศรีชอบแต่งตัวชุดสีเหลือง เป็นกระโปรงยาวๆ บ่อยครั้ง มัณฑนา โมรากุล นักร้องของวงในขณะนั้น พูดกับเพื่อนๆ แบบติดตลกว่า เพ็ญศรีแต่งตัวเหมือน ‘ฮุดโจ๊ว’ ซึ่งแปลว่าพระจีน ใครต่อใครขบขันนิคเนมของเพ็ญศรี ก็เลยพลอยเรียกกันเล่นตามที่มัณฑนาตั้งขึ้นว่า ‘ฮุดโจ๊ว’ เรื่อยมา ไม่ค่อยมีใครเรียกเพ็ญศรี นานๆ เข้าคำว่า ‘ฮุด’ ก็ค่อยๆ หายไป เหลือคำเดียวว่า ‘โจ๊ว’ คล้ายๆ เด็กผู้ชาย ก็เลยมีบางคนเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘ไอ้โจ๊ว’ และกลายเป็น ‘พี่โจ๊ว’ ของน้องๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน” (น.407)

เกร็ดเรื่องเช่นนี้มีมากมาย เล่าได้ไม่รู้จบ อยากรู้ต้องไปหาหนังสือมาอ่าน

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025