posttoday

ตำนานสุนทราภรณ์

28 ธันวาคม 2564

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

*****************

หลักพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน) เป็นหนึ่งใน หัวใจพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดจะพ้นไปได้

หลักอนิจจังคือ ทุกสิ่งย่อม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป วงดนตรีก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะโด่งดังระดับโลก เช่น วงเดอะบีตเติล หรือ “สี่เต่าทอง” ของอังกฤษ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางใน “โลกเสรี” ทั่วโลก ไม่นานก็ถึงกาลต้องสลายวง ในเมืองไทยก็มีวงดนตรีมากมายที่โด่งดังขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง แล้วก็แตกวงและเลือนหายไป เช่น วงดิอิมพอสสิเบิล, รอยัลสไปร๊ท์ , สุรพล สมบัติเจริญ, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, พุ่มพวง ดวงจันทร์ ฯลฯ

มีแต่วงดนตรีสุนทราภรณ์ที่ยืนยงมาได้หลายทศวรรษ นับตั้งแต่ก่อตั้งมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 นับถึงปีนี้ก็เข้าปีที่ 83 แล้ว นับว่ายาวนานเป็นประวัติการณ์ ไม่เพียงแต่สำหรับวงดนตรีในประเทศไทย แต่น่าจะไม่มีวงดนตรีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ในโลกที่มีอายุยืนนานมาได้ขนาดนี้

แน่นอนว่า ด้วยประวัติอันยาวนาน ย่อมมีเรื่องราวมากมายที่ควรแก่การ “เล่าขาน” หรือบันทึกไว้ทั้งเรื่องราวของบทเพลง ชีวิตของผู้คนที่เกี่ยวข้องตลอดจนบทวิเคราะห์เชิงวิชาการว่าทำไมวงดนตรีนี้ถึงได้ดำรงอยู่มาได้อย่างยาวนานกว่า 8 ทศวรรษแล้ว

ธรรมดา สังคมไทยเป็น “สังคมคุย” ไม่ใช่ “สังคมอ่าน” นั่นคือมักจะไม่ใคร่มีการบันทึกเรื่องราวเอาไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะคติแต่โบราณสอนกันมาว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี” คนที่เก่งหนังสือแต่ก่อนก็มักได้เป็นเพียงเสมียนหรืออาลักษณ์ น้อยนักที่จะเป็นใหญ่เป็นโต หรืออาจเป็นเพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน จึงปลูกบ้านใต้ถุนสูง กลางวันมักอยู่ใต้ถุนบ้านเพื่อรับลม ไม่อุดอู้อยู่ในบ้าน จึงมีโอกาสพบปะผู้คน ได้พูดคุยกัน ต่างจากในเมืองหนาว ที่ทุกปีจะต้องหลบหนาวอยู่แต่ในบ้านตลอด “ฤดูหนาวอันแสนนาน” ขนบเรื่องการอ่านหนังสือจึงปลูกฝังและบ่มเพาะขึ้นและสืบทอดต่อๆ กันมา

แต่น่ายินดีที่เรื่องราวของสุนทราภรณ์มีผู้ “เห็นคุณค่า” และ “เห็นการณ์ไกล” รวบรวมเรื่องราวไว้เป็นหนังสือถึง 8 เล่ม รวมแล้วถึง 4,762 หน้า คือ “คีตา พญาไท” ซึ่งเป็นนามปากกาของคุณไพบูลย์ สำราญภูติ ซึ่ง เป็นทั้ง นักบริหาร นักขาย นักการตลาดที่มีชื่อเสียงของไทย มีผลงานที่โด่งดัง โดดเด่น มากมาย รวมทั้งเป็นนักเขียน นักแปล และเป็นผู้ที่รู้จักคลุกคลีอยู่ในวงการดนตรี รวมทั้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับวงดนตรีสุนทราภรณ์ด้วย

ซึ่งเมื่อหนังสือเล่มแรก ที่หนาถึง 692 หน้าออกมาในประเทศไทย ซึ่งเป็น “สังคมคุย” ไม่ใช่ “สังคมอ่าน” ดังได้กล่าวแล้ว จึง “มีปัญหาเรื่องจัดจำหน่าย” แต่คุณไพบูลย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยการจัดคอนเสิร์ต โดย “ขายบัตรคอนเสิร์ตแถมหนังสือ” หรือ “ซื้อหนังสือแถมบัตรคอนเสริต” จนประสบความสำเร็จถึงขั้น “ติดลม” เขียนเรื่องราวสุนทราภรณ์ต่อมาได้รวมถึง 8 เล่ม รวมพิมพ์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2545 และได้พิมพ์ครั้งที่ 2 ในปี 2564

แน่นอนว่า การรวบรวมเรื่องราวของสุนทราภรณ์ในสังคมไทยที่ไม่ใคร่รู้จักหรือไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า archives หรือ “จดหมายเหตุ” เท่าไรนัก ทำให้มักจะไม่มีการเก็บหลักฐานสำคัญไว้ ปล่อยให้สูญหายไปกับกาลเวลา เอกสารสำคัญก็มักไม่มีการเก็บไว้อย่างเป็นระบบ ระเบียบ เรื่องราวต่างๆ จึงมักจะอยู่ในรูป “มุขปาฐะ” (oral tradition) หรือเป็นเรื่องเล่าแบบ “ปากต่อปาก” ซึ่งส่วนมากย่อม “ผิดเพี้ยน” หรือถึงขั้น “ผิดพลาดคลาดเคลื่อน” และสุดท้ายเรื่อง “ดีๆ” จำนวนมากก็ “ตายไปกับตัว” ของบรรดา “ผู้รู้” หรือ “ประจักษ์พยาน” นั้น

คุณไพบูลย์จึงได้บันทึกไว้ท้ายหนังสือ เล่มที่ 1 ว่า “เมื่อได้ลงมือรวบรวม ข้อมูล เอกสาร หนังสือต่างๆ ของบุคคล เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรีสุนทราภรณ์แล้ว จึงพบว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสเอาการ เพราะข้อมูล ที่มีอยู่กระจัดกระจายหลายที่หลายแห่ง และไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเองเลย”

“บางเรื่องก็เป็นการบอกเล่า กล่าวขาน เขียนขึ้นจากความทรงจำ หรือได้ยินได้ฟังต่อๆ กันมา บางเหตุการณ์ก็สอดคล้องต้องกัน บางเรื่องก็ขัดแย้งหรือไม่ตรงกัน และที่สำคัญก็คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ก็ลาจากพวกเราไปอยู่บนสวรรค์กันหมดสิ้นแล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยราชการบางหน่วยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้โดยตรง เช่น กรมประชาสัมพันธ์ และ อ.ส.ม.ท. กลับไม่มีข้อมูล เอกสาร ที่จะสามารถอ้างอิงได้เลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา จึงต้องอาศัยเอกสาร หนังสือจากห้องสมุดต่างๆ .... รวมทั้งเอกสารต่างๆ จากวงดนตรีสุนทราภรณ์ ฯลฯ เป็นหลัก”

ในที่สุด คุณไพบูลย์จึงเลือกใช้วิธีการ คือ “ได้พยายามค้นหา ศึกษาหาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในข้อจำกัดดังกล่าวข้างต้น และเห็นว่าข้อเขียนของผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ นั้น ล้วนมีคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์หรือตำนาน เรื่องราวความเป็นมา จึงนำมาร้อยเรียงใหม่ให้น่าอ่านและเข้าใจง่ายขึ้น โดยจะไม่ไปแตะต้องหรือดัดแปลงข้อมูลเก่าใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติเจ้าของบทความหรือข้อเขียนนั้นๆ ให้เป็นที่ปรากฏ และจะได้เป็นแนวทางในการทำการค้นคว้าศึกษาวิจัยต่างๆ ในอนาคต”

ต้องขอบคุณคุณไพบูลย์เป็นอย่างยิ่งที่สร้างงานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่งชุดนี้ออกมา ทั้งๆ ที่มีงานหลักคืองานด้านธุรกิจ มิใช่ “นักวิชาการ” งานนี้แม้มิใช่ “เรื่องแต่ง” (Fiction) ในวงวรรณกรรมไทย อย่าง “ผู้ชนะสิบทิศ” ของยาขอบ “ขุนศึก” ของไม้ เมืองเดิม “ล่องไพร่” ของน้อย อินทนนท์ “เพชรพระอุมา” ของ พนมเทียน แต่เรื่องราวที่ส่วนมากเป็น “เรื่องเล่า” จากชีวิตจริง ก็มีคุณค่ายิ่ง สามารถให้คติเตือนใจ และข้อสำคัญคือได้เรียนรู้ว่าวงดนตรีสุนทราภรณ์ ของเด็กหนุ่มน้อยจากอัมพวาคนนี้ มีกำเนิด เติบโต ยิ่งใหญ่ และยั่งยืนมายาวนาน ได้อย่างไร

**********

ข่าวล่าสุด

เส้นทาง “เถ้าแก่ส้ม” ร้อยล้าน ปั้นโชกุนเบตง–สายน้ำผึ้งฝางดังทั่วประเทศ