ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (4)
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
***************
“มากรุงเทพฯต้องไปวัดพระแก้ว ยักษ์วัดโพธิ์ และบ้านซอยสวนพลู”
คำกล่าวข้างต้นดูเหมือนจะคุยโม้โอ้อวดมากเสียเหลือเกิน แต่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ออกจะภูมิใจ โดยท่านใช้ประโยคนี้ในคราวที่นายมาร์ลอน แบรนโด ซุปเปอร์สตาร์ฮอลลีวูด ในยุค 60 ได้มาเยี่ยมบ้านของท่านที่ซอยสวนพลูเมื่อ 60 ปีก่อน ที่ภูมิใจก็ไม่ใช่เพราะว่าบ้านซอยสวนพลูได้มีความสำคัญถึงระดับโลกแบบวัดพระแก้วและวัดโพธิ์ แต่เพราะบ้านนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของ “เอกลักษณ์ไทย” เป็นตัวอย่างของการชีวิตในบ้านไทยที่มีรูปทรงและการก่อสร้างแบบโบราณ แต่สามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายในแบบสมัยใหม่ ซึ่งแขกไปใครมาก็ชื่นชม ไม่เฉพาะแต่นายแบรนโด แต่ยังมีผู้มาเยี่ยมในระดับวีไอพีจากชาติอื่น ๆ ก็พูดออกมาในทำนองเดียวกัน
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นปีต่อมาหลังจากที่ได้ไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Ugly American (ค้นข้อมูลจากกูเกิลทราบว่าเป็น พ.ศ. 2504) ซึ่งตอนแรกได้จ้างท่านเป็นที่ปรึกษากองถ่าย แต่พอไปถึงแล้วลงมือถ่ายทำในโรงถ่าย ขณะคัดเลือกตัวคนที่จะมาแสดงเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศสารขัณฑ์ก็หาคนไม่ได้ นายยอร์ช อิงแลนด์ ผู้กำกับจึงให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ลองทดสอบหน้ากล้องดู (ภาษาคนสร้างหนังเรียกว่า “แคสติ้ง”) ปรากฏว่าถูกใจนายอิงแลนด์มาก ท่านเลยได้รับบทนั้นด้วย
พอถ่ายทำเสร็จก็สนิทสนมกับพระเอก คือ นายแบรนโด จนนายแบรนโดและนายอิงแลนด์ ได้ขอมาเที่ยวบ้านของท่านในปีต่อมาดังกล่าว ตอนที่ทราบว่าทั้งสองคนจะมาเยี่ยมท่านที่บ้านซอยสวนพลู ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ตื่นเต้นมาก ได้จัดเตรียมการต้อนรับอย่างวิเศษ คือมีการตกแต่งสถานที่ เตรียมข้าวปลาอาหาร และการแสดงอย่างดีที่สุด ซึ่งก็ได้รับคำชมและสร้างความประทับใจให้กับคนทั้งสองมาก ๆ
ในช่วงที่ผมทำงานอยู่กับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้มีโอกาสได้เห็นการต้อนรับแขกระดับวีไอพีคณะหนึ่ง คือคณะของท่านเอคอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ทราบว่าท่านทูตเคยเป็นคณะที่คอยต้อนรับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในตอนที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไปเปิดสัมพันธไมตรีกับจีน ใน พ.ศ. 2518 นั้นด้วย ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้นำชมอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง เท่าที่ผมจำได้ระหว่างที่เดินตามท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไปกับคณะที่มาเยี่ยมชมด้วยนั้น (ผ่านล่ามที่มาด้วยในคณะนั้น)
ท่านทูตสนใจสอบถามในหลาย ๆ เรื่อง อย่างเช่น เรื่องอาหารการกิน ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้จัดสำรับแบบขุนนางผู้ใหญ่ใส่ชุดถ้วยชามเบญจรงค์ การร้อยพวงมาลัยและอุบะ ไม้ดัด ของสะสมจำพวกตลับงา เฟอร์นิเจอร์ฝังมุก และตู้ลายรดน้ำ ซึ่งพอมาถึงตู้ลายรดน้ำ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็อธิบายว่า นี่เป็นตู้ฝีมือชั้นครู สมัยอยุธยาตอนปลาย เรียกว่า “สกุลวัดเซิงหวาย” ที่ถือว่าเป็นสกุลศิลปะที่สวยงามอ่อนช้อยและประณีตที่สุด แต่ก็แสดงถึงทัศนคติทางการเมืองบางอย่างของคนไทยในสมัยนั้นด้วย คือ “การเกลียดฝรั่ง”
โดยท่านได้ชี้ไปที่ลายบนตู้ตั้งแต่ด้านบนที่เป็นรูปเทวด แต่ด้านล่างที่เป็นรูปสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ กลับเขียนหน้าสัตว์เหล่านั้นเป็นฝรั่งจมูกงุ้มผมหยิก ท่านทูตก็หัวเราะ และบอกว่าคนไทยนี้หัวรุนแรงจริง ๆ สุดท้ายได้พาไปเยี่ยมชมห้องนอนซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านนอนกับพื้น โดยปูฟูกบาง ๆ บนเสื่อแบบไทย ๆ ที่หัวนอนมีกรอบรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ผมเห็นท่านทูตยกมือไหว้ จนตัวผมนี้ขนลุกซู่ นี่ขนาดผู้ใหญ่ของประเทศจีนยังเคารพนับถือในหลวงของเราถึงขนาดนี้ แล้วคนจีนอีกนับพัน ๆ ล้านนั้นก็คงมีคนแบบนี้อีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน
แต่ก็ยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียนบ้านท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อยู่เป็นระยะ ที่เป็นข่าวใหญ่ก็น่าจะมีสัก 2 ครั้ง คือครั้งแรก ในตอนที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ตำรวจจำนวนนับร้อยได้เดินชบวนจากสนามหลวงมาที่บ้านสวนพลู และบุกพังข้างของในบ้านท่านเสียหายไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงสัตว์เลี้ยงคือนกและปลากัด โชคดีที่ท่านอพยพหมาของท่านไปอยู่ที่โรงพักทุ่งมหาเมฆด้วยกันเสียก่อน
ทั้งนี้ยังมีรอยกระสุนที่ตำรวจยิงขึ้นเพดานใต้ถุนบ้านติดอยู่ โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ให้ซ่อม บอกว่าจะได้เอาไว้เป็นอนุสรณ์ อีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2530 ที่มีทหารพรานจำนวนหลายร้อยเช่นกันมากระทืบประตูหน้าบ้าน ด้วยสาเหตุที่ว่าไม่พอใจท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่ไปพูดบรรยายว่าพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นผมยังพักอยู่ในบ้านพักด้านล่างที่อยู่ใกล้เรือนไทย สักเจ็ดโมงเช้าที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กำลังอาบน้ำ “จ่าเสริฐ” ตำรวจหน้าบ้านได้มาบอก “พี่หละ” พ่อบ้านว่า ทหารพรานบุกบ้านแล้ว จะทำยังไงดี
ลูกชายของท่านคือ ม.ล.รองฤทธิ์ ปราโมช ให้เตรียมรถไว้หลบอออกไปทางหลังบ้านแล้ว ผมกับพี่หละขึ้นไปหาท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ด้วยกัน ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ดูสงบนิ่งมาก ท่านบอกว่าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น ท่านอยากรู้เหมือนกันว่า “จะมีใครฆ่าฉันเพื่อพ่อหรือเปล่า” แล้วลงมานั่งทานอาหารเช้าตามปกติ ท่ามกลางเสียงโห่ฮาของทหารพรานหน้าบ้านที่โยกประตูเพื่อังเข้ามา ที่เท้าของท่านมีหมาไทยสีดำนอนหมอบอยู่ข้าง ๆ นั่นก็คือ “เสือใบ” (ส่วน “สามสี” หมาพันธุ์บาสเส็ตฮาวน์นั้นเพิ่งตายไปไม่นาน)
จนกระทั่งสักเก้าโมงเช้า ก็มีนายทหารดับนายพล 3 คน นำโดยคนที่ชื่อเล่น ๆ ว่า บี้ บอด ใบ้ อะไรทำนองนั้น มาขอเข้าพบ ซึ่งท่านก็ให้เข้ามา ซึ่งก็ทราบตามข่าวในเวลาต่อมาว่าทหารพวกนี้ได้มาขอให้ท่านขอโทษพลเอกชวลิต (ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้เข้ามาถ่ายภาพนี้ไว้ได้ และดูเหมือนจะเป็นภาพระดับ “ภาพยอดเยี่ยมประจำปี” นั่นเลย ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้คงมีคนแชร์กันนับเป็นแสน ๆ) ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่ต่อจากนั้นพอภายหลังที่พลเอกชวลิตขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ได้เสนอเพิ่มยศให้ท่านอาจารคึกฤทธิ์เป็นพลตรี คงเพื่อเป็นการไถ่โทษดังกล่าว
บ้านซอยสวนพลูนี้คงขลังมาก ไม่ว่าจะถูกกระทำย่ำยีอย่างไรก็ไม่เคยพัง แถมยังยิ่งมีแต่มั่นคงแข็งแรงและรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
******************************


