posttoday

Vaccine First….ความสำคัญของประเทศที่ต้องมาก่อน

23 สิงหาคม 2564

คอลัมน์ เศรษฐกิจรอบทิศ

พิษจากโควิดระลอกเดลต้าหนักและรุนแรงทั้งผู้ติดเชื้อรายวันทะลุล้านคนไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ตัวเลขนี้ยังไม่รวมติดเชื้อเข้าข่าย ATK อีกมากกว่าห้าหมื่นคนขณะเดียวกันคนเสียชีวิตกำลังเข้าใกล้หลักหมื่นราย ส่งผลให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังแนวโน้มไปในทางทรุดหนักมากกว่าช่วงที่ผ่านมา

สะท้อนจากการปรับจีดีพีซึ่งสภาพัฒน์ฯ หรือ “สศช.” นำเสนอให้ครม.รับทราบการปรับลดขยายตัวเศรษฐกิจปี 2564 จากร้อยละ 1.5-2.0 เหลือร้อยละ 0.7-1.2 (ค่าเฉลี่ย 0.95%) การปรับลดจีดีพีอย่างเป็นทางการทั้งที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ร้อยละ 2.0 แสดงให้เห็นว่าครึ่งปีหลังนอกจากเศรษฐกิจไม่ฟื้นกลับทรุดลงไปอีก สอดคล้องกับการปรับลดจีดีพีของสำนักวิจัยธนาคารชั้นนำเฉลี่ยขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5  บางแห่งวิเคราะห์ถึงขั้นหดตัวติดลบร้อยละ 0.5-1.0

ภายใต้วิกฤตที่เป็น “Double Economic Crisis” ที่มาทั้งจากแพร่ระบาดและเศรษฐกิจที่ทรุดตัวหาก  ปีนี้ยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สองเข้าขั้นเป็น “เศรษฐกิจถดถอย” ความเห็นผู้เขียนยังให้น้ำหนักปัจจัยบวกจาก “Export” ถึงจะมีปัญหาสถานประกอบการและโรงงาน 17-18 แห่ง มีผู้ติดเชื้อจนมีมาตรการให้ไปตรวจเชื้อให้ทั่วถึงและทำ Factory Insolation คือจัดสรรสถานที่แยกคนติดเชื้อรอการรักษาซึ่งในทางปฏิบัติเอกชนบางรายติดขัดด้านสถานที่อาจทำไม่ได้ ขณะเดียวกันภาคเอกชนระมัดระวังกันสุดขีดอยู่แล้วเพราะเกี่ยวข้องกับการหยุดชะงักของการผลิตและการอยู่รอดของธุรกิจ

ภาคส่วนที่น่าเป็นห่วงมากสุดคือภาคท่องเที่ยวที่มีสถานประกอบการจำนวนมากเกี่ยวข้องกับแรงงานมากกว่า 4 ล้านคน ล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ถอดใจหากโควิดยังระบาดรุนแรงอย่างที่เป็นอยู่ ประเมินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจากก่อนมีการแพร่ระบาด (ปีพ.ศ.2562) มีจำนวน 39.92 ล้านคน ปี พ.ศ.2563 ลดเหลือ 6.7 ล้านคน

สำหรับปีนี้คาดว่าจะเหลือ 1.2 ล้านคนแต่เอกชนที่เกี่ยวข้องระบุว่าอาจได้ไม่ถึงหนึ่งล้านคน ด้านรายได้ปีที่แล้วว่าแย่แล้วมูลค่า 3.32 แสนล้านบาทจากปกติมีรายได้ 1.91 ล้านล้านบาท คาดว่าปีนี้รายได้ท่องเที่ยวต่างชาติอาจเหลือแค่ 8.5 หมื่นล้านบาทหดตัวถึง 22.5 เท่า ธุรกิจและผู้คนที่อยู่ในภาคท่องเที่ยวเผชิญวิกฤตหนักหนาแค่ไหนก็คิดดูเอาเอง

เศรษฐกิจที่ทรุดตัวเป็นผลจากเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยกเว้นภาคส่งออกนอกนั้นดับหมด  แค่นักท่องเที่ยวที่หายไปประมาณ 38.7 ล้านคนที่เฉลี่ยพักอยู่ในประเทศไทย 7 วันกินอาหารวันละ 3 มื้อและจับจ่ายใช้สอยเงินตกถึงรากหญ้ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กำลังซื้อหายไป

อีกทั้งการระบาดโควิดที่รุนแรงและล็อกดาวน์พื้นที่เศรษฐกิจเกือบ 1 ใน 3 ของประเทศทำให้มีคนตกงานและเสมือนว่างงานใกล้ๆ 4 ล้านคนทำให้เศรษฐกิจในวันนี้อ่อนแรง ตัวเลขบริโภคเอกชนปีที่แล้วหดตัวติดลบร้อยละ 1.0 ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.1 ซึ่งถือว่าต่ำมากจากปีที่ปกติการบริโภคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 4

ทางออกหรือ “ทางรอด” จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยคือต้องให้ประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 เข้าถึงวัคซีน รัฐบาลหลังถูกอัดความด้อยประสิทธิภาพเปิดแผนจัดหาวัคซีน 168 ล้านโดส (เป็นของปีหน้า 70 ล้านโดส) จากข้อมูลการเข้าถึงวัคซีนของคนไทยฉีดไปแล้ว 24.83 ล้านโดสเป็นเข็มแรก 18.9 ล้านโดสเท่ากับร้อยละ 37.8 ของเป้าหมาย 50 ล้านคนและเข็มสองเท่ากับร้อยละ 10.7  ล่าสุดมีการปรับเป้าที่จะฉีดปีนี้ลดลงเหลือ 35-40 ล้านคน อย่างที่กล่าว ณ เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเมืองทั้งในและนอกสภารวมถึงม็อบประท้วง “ไม่เอาประยุทธ์” ไม่สำคัญเท่ากับต่อสู้เอาชนะโควิด

คำตอบอยู่ที่ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนรวมถึงการกู้ระบบสาธารณสุขให้กลับมารับมือผู้ติดเชื้อจำนวนสองแสนเศษที่อยู่ในโรงพยาบาล, ไอโซเลชั่นและอีกจำนวนหนึ่งที่รอรักษาอยู่ที่บ้าน การจัดสรรงบประมาณป้องกันสาธารณสุขกว่าหนึ่งแสนล้านบาทจึงมาถูกทาง สงครามสู้กับโควิดไม่ต้องขี้เหนียวทั้งการจัดหาวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงการตรวจหาเชื้อชุด ATK ให้ได้ราคาถูกๆ ที่สำคัญต้องดูแลหมอ-พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่กองหน้าวัคซีนต้องครอบคลุมให้ถึงครอบครัวของเขาเหล่านั้นเพราะหากบุคลากรทางการแพยท์ติดเชื้อจากครัวเรือนแล้วจะเอาคนที่ไหนไปรบกับโควิด

ขณะเดียวกันช่วงนี้สับสนมากๆ เกี่ยวกับยี่ห้อของวัคซีน ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่เอา “Sinovac” ระบุว่าภูมิต่ำทำให้คนที่ฉีดไปแล้วใจคอไม่ดี ไปๆ มาๆ หลังหมดหวังยี่ห้อจากอังกฤษต้องสั่ง “Sinovac” เข้ามาเสริม หน่วยงานแพทย์แถลงข่าวรวมกับโรงพยาบาลดังระบุว่าฉีดซิโนแวคเข็มแรกบวกกับแอสตร้าซิเนก้าเข็มสองภูมิคุ้มกันดีกว่าฉีดแอสตร้าฯ ถึง 3.45 เท่า แถมระบุอีกว่าฉีดซิโนแวค 2 เข็มดีกว่าฉีดแอสตร้าฯ สองเข็มถึงสามเท่า ตกลงว่าจะเอาอย่างไรเพราะชาวบ้านสับสนมากๆ “ศบค.” น่าจะออกมาแถลงข่าวเป็นทางการ ที่สำคัญขณะนี้ความเชื่อมั่นการเข้าถึงวัคซีนต่ำมากแม้แต่ผู้เขียนมีคิวจะฉีดแอสตร้าฯ เข็มสองในอีกสองสัปดาห์ยังเชื่อไม่ถึงครึ่งว่าจะถูกเลื่อนหรือไม่

ปลายเดือนนี้อาจจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประเด็นที่ประชาชนสนใจมากสุดคงเป็นท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะ “หัวโต๊ะศบค.” และรัฐมนตรีสาธารณสุขที่รับผิดชอบโดยตรง อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านจะซักถามความคับข้องใจว่าทำไมวัคซีนจึงล่าช้า คนป่วยทะลุล้านและคนตายเกือบใกล้หมื่นคนมีอะไรอยู่ใต้พรม ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำตอบของคนที่รับผิดชอบว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง ติดขัดอะไรชาวบ้านจะได้รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเพราะอย่างไรการเมืองแบบรัฐสภาไม่อยู่ที่ข้อเท็จจริงหรือผิด-ถูกแต่ขึ้นอยู่กับมือของพรรคพวกที่มีผลประโยชน์ร่วมกันจะยกมือให้ซึ่งก็คงผ่านอยู่แล้ว

หลังอภิปรายอยากเห็นการปรับเปลี่ยนการทำงาน “ยกเครื่องศบค.” ให้เป็นเชิงรุกลดขั้นตอนกรรมการชุดเล็กชุดใหญ่หรือการแย่งซีนกัน เศรษฐกิจไทยและธุรกิจจะรอดหรือไม่รอดอยู่ที่การแก้ปัญหาโควิด ความสำคัญอันดับแรกคือการเข้าถึงวัคซีนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ ตายและปากท้อง...เรื่องอื่นรอก่อนได้ครับ !

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026