posttoday

มองปัจจุบันและอนาคตของสังคมการเมือง

13 สิงหาคม 2564

โดย...โคทม อารียา

***************

ทองเลนเป็นวิธีการปฏิบัติวิธีหนึ่งของพุทธศาสนานิกายวัชรยาน องค์ทะไลลามะ อธิบายเรื่องทองเลนไว้ดังนี้

“ผมมองเห็นภาพ ผมส่งความรู้สึกที่เป็นบวก

เช่นความสุข ความเอื้ออาทร สู่ผู้อื่น

แล้วผมมองเห็นอีกภาพหนึ่ง

เห็นว่ารับความทุกข์ ความรู้สึกที่เป็นลบของพวกเขา

ผมหายใจเข้า รับความเกลียด ความกลัว ความโหดร้ายเข้ามา

ผมหายใจออก ส่งความเมตตา การให้อภัยออกไป

ให้และรับ ไม่กล่าวโทษใคร’

วิธีปฏิบัติเช่นนี้ทำได้ยากและต้องการการฝึกฝน เหมือนการฝึกฝนการใช้สันติวิธีในการต่อสู้ ผมเห็นภาพการปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ประท้วงที่สามเหลี่ยมดินแดนในวันที่ 7 และวันที่ 10 สิงหาคม 2564 แล้ว เมื่อเห็นแล้วยังจะฝึกหายใจเข้า “รับความเกลียด ความกลัว ความโหดร้ายเข้ามา” จะฝึกหายใจออก “ส่งความเมตตา การให้อภัยออกไป” ให้แก่ทั้งตำรวจและผู้ประท้วง โดย “ไม่กล่าวโทษใคร” ได้ไหม ขอยอมรับว่าผมทำไม่ค่อยได้ ยังต้องขอฝึกฝนต่อไปในแนวทางนี้

แต่ปัญหามิใช่มีเพียงความขุ่นเคืองในจิตใจของปัจเจก หากเป็นปัญหาระหว่างกลุ่มก้อนของสังคมด้วย เช่น ระหว่างเยาวชนผู้ประท้วงกลุ่มหนึ่งกับตำรวจผู้ควบคุมฝูงชน (คฝ.) อีกกลุ่มหนึ่ง หรือระหว่างผู้เรียกร้องประชาธิปไตยกลุ่มหนึ่งกับผู้มีแนวคิดอำนาจนิยมอีกกลุ่มหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมีปัญหาเชิงโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรมการเมือง ที่มองกันไปคนละทิศละทาง

ขอเริ่มที่ความทุกข์ที่อยู่เฉพาะหน้าก่อน เรามีความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่เนื่องมาแต่การระบาดของโควิด แต่จะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะมีการกล่าวถึงกันมากแล้ว โดยทุกฝ่ายคงยอมรับแล้วว่า เป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าที่รัฐบาลจะแก้ไขได้โดยการรวมศูนย์ ที่จะกล่าวในที่นี้คือการประท้วงทางการเมือง เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง และให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

ผมเลือกอยู่ข้างผู้ประท้วงที่ใช้สันติวิธี แม้จะเห็นใจตำรวจที่ทำตามหน้าที่ “ควมคุมฝูงชน” ก็ตาม แต่อดคิดไม่ได้ว่า นี่ไม่ใช่การต่อสู้กับตำรวจ หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้มีอำนาจเหนือที่สามารถใช้กลไกรัฐเพื่อค้ำจุนอำนาจของตน กับผู้ที่มีเพียงวจีกรรมเป็น “อำนาจ” ในการสร้างความชอบธรรม เอาเป็นว่าผมอยู่ข้างผู้เสียเปรียบและผู้มีความชอบธรรมในการต่อสู้ก็แล้วกัน

ผมโชคดีที่มีเพื่อนชื่อ งามศุกร์ รัตนเสถียร อาจารย์สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล คอยช่วยเหลือ โดยส่งหนังสือและบทความมาให้อ่านและใช้เป็นข้อมูลในการเขียนบทความ

ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ขอขอบคุณงามศุกร์ที่ส่งหนังสือชื่อ “คู่มือการสะท้อนกลับ” ที่เขียนโดย ไบรอัน มาร์ติน มาให้อ่าน มาร์ตินเป็นนักสันติวิธีที่อยู่ข้างผู้ถูกเอาเปรียบ เขาสังเกตว่าผู้มีอำนาจได้เรียนรู้และปรับเปลี่ยนกลวิธีจากเดิมที่นิยมใช้ความรุนแรงทางตรงเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่าง มาใช้กลวิธีที่หลากหลายขึ้น ผู้ที่ต่อสู้กับผู้มีอำนาจจึงควรเรียนรู้วิธีการใหม่ ๆ ของผู้มีอำนาจ เพื่อที่จะตอบโต้หรือ “สะท้อนกลับ” อย่างรู้เท่าทัน

มาร์ตินเสนอว่าผู้มีอำนาจอาจใช้กลวิธีดังต่อไปนี้เพื่อลดทอนความชอบธรรมของการประท้วง

1)การปกปิดการกระทำ เช่น ถ้ามีการรุมทำร้ายผู้ประท้วงที่ล้มลงกับพื้นแล้ว ก็ไม่ต้องการให้สื่อมวลชนหรือใครมาถ่ายภาพไว้

2)การลดคุณค่าของผู้ประท้วง เช่น สื่อสารให้เข้าใจว่าผู้ประท้วงเป็นผู้ก่อกวน ถูกจ้างมา หัวรุนแรง

3)การตีกรอบความคิด (framing) และการเปลี่ยนการตีความ กรอบความคิดที่วางไว้คือตำรวจไม่เคยทำร้ายประชาชน เพียงทำหน้าที่รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย ผู้ประท้วงต่างหากที่ใช้ความรุนแรง โดยมีภาพแสดงพฤติกรรมหยาบคายหรือรุนแรงของผู้ประท้วงบางคนประกอบ เช่น ภาพการปาหิน ภาพการยิงลูกแก้วด้วยหนังสติ๊ก หรือภาพการเผารถตำรวจหรือป้อมตำรวจ ส่วนการตีความได้แก่การตีความว่าข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงไร้สาระ ปฏิบัติไม่ได้ มีวาระซ่อนเร้นในข้อเรียกร้องบางข้อ เป็นต้น

4)ใช้มาตรการทางกฎหมายและมาตรการที่เป็นทางการอื่น ๆ เช่น จับกุม/ฟ้องร้องเพื่อสร้างภาระและหน่วงพฤติกรรมของแกนนำ ออกข้อกำหนดที่ทำให้ยุทธวิธีของผู้ประท้วงผิดกฎหมาย ตลอดจนใช้กลไกอื่น ๆ ของรัฐให้เป็นประโยชน์ เช่น ทำทีว่ามีการสืบสวนสอบสวนแล้ว หรือมีการวินิจฉัยแล้วว่าผู้มีอำนาจไม่มีพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลหรือผิดกฎหมายแต่ประการใด ผู้มีอำนาจอำนวยความยุติธรรมให้แล้ว

5)ใช้การข่มขู่ หรือล่อใจด้วยรางวัล

ผู้ประท้วงต้องศึกษาและติดตามกลวิธีของผู้มีอำนาจ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และคิดวิธีตอบโต้ (หรือสะท้อนกลับ) อย่างรู้เท่าทัน ถ้ามีทีมช่วยคิดและแนะนำอย่างทันเวลา ถ้าสามารถเก็บข้อมูลภาคสนามแบบ real time ถ้าสามารถสืบรู้การเคลื่อนไหวของฝ่ายผู้มีอำนาจ ฯลฯ การตอบโต้ก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้น เช่นสามารถให้คำแนะนำต่อทีมหน้างานได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้ข้อควรระวังเพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิดพลาดที่เข้าทางผู้มีอำนาจ มาร์ตินมีข้อเสนออื่น ๆ อีก เช่น

-ควรศึกษาแรงจูงใจของผู้มีอำนาจ

-ควรแสดงข้อเท็จจริง เหตุผลและหลักฐาน มากกว่าจะกล่าวโทษเฉย ๆ

-ควรใช้อารมณ์ขัน เช่น เขียนภาพการ์ตูนล้อเลียน แสดงทีท่าหรือร้องเพลงล้อเลียน

-ควรใช้การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์รวมทั้งการแสดงออกทางศิลปะ วัฒนธรรม

-ควรระวังการสอดแนม รวมทั้งการแอบฟังทางโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมาย

-ควรระวังการตอบโต้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น การซ้อมทรมาน การอุ้มหาย

ตอนนี้ ขอมองย้อนไปถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ผ่านมา ที่ประสบผลสำเร็จคือเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และเดือนพฤษภาคม 2535 แต่ผมมักนึกถึงภาพยนตร์ Star Wars ซึ่งมีตอนหนึ่งชื่อว่า The Empire Strikes Back ฝ่ายประชาธิปไตยมีผลสำเร็จได้ไม่นาน ก็ถูกโต้กลับ (strikes back) ทุกที The Empire มีหลายชื่อ เช่น “The power that be” หรือ “The Establishment” หรือ “state within a state” (รัฐซ้อนรัฐ) หรือ “deep state” (รัฐพันลึก) The Empire ยึดกุมอำนาจอยู่แต่เรามองไม่เห็น ไม่เหมือนรัฐบาลที่เราต่อสู้ด้วย

ถ้ารัฐบาลหนึ่งล้มไป The Empire ยังอยู่ นายแพทย์ประเวศ วะสี ชี้ว่า The Empire น่าจะได้แก่โครงสร้างอำนาจสามเส้า “ประกอบด้วย ชนชั้นสูงหรือผู้ดีเก่า-กองทัพ-พ่อค้าหรือนายทุนบางส่วน โครงสร้างอำนาจสามเส้านี้กำหนดผู้บริหารประเทศ ต่อต้านคนรุ่นใหม่และการเปลี่ยนแปลง เป็นโครงสร้างที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ ความเป็นจริงคือคนรุ่นใหม่ต้องเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่า และ ... เก่าจะต้องเปลี่ยนเป็นใหม่ตามธรรมชาติของความเป็นอนิจจัง”

ผมตีความความเห็นของ นายแพทย์ประเวศ ว่า โครงสร้างเก่ายังเข้มแข็งและโครงสร้างใหม่ยังต้องใช้เวลากว่าจะเข้ามาแทนที่ สภาพปัจจุบันคือการ lock in คือการเมืองตกอยู่ในสภาพเขยื้อนก็ไม่ได้ สมรรถนะในการแก้วิกฤติก็ไม่มี ...

ขณะที่รอการมีส่วนร่วมในการขยับเขยื้อนสังคมสู่ความเห็นพ้อง (consensus) ใหม่อยู่นั้น นายแพทย์ประเวศ เสนอให้สร้างพลังการขับเคลื่อนด้วยปัญญา คือ ชูประเด็น “100 มหาวิทยาลัย 1 ล้านนิสิต” ให้เป็นขุมกำลังปัญญาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ สร้างพลังบวกคลี่คลายวิกฤติ

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564 ผมได้มีโอกาสร่วมการประชุมออนไลน์กับโครงการ IPP (Insider Peacebuilders Platform) ที่ระดมความคิดเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ให้คนในพื้นที่ช่วยกันสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วิทยากรในวันนั้นคือ Norbert Ropers จากศูนย์ความร่วมมือทรัพยากรสันติภาพ นอร์เบิร์ตมีข้อเสนอ 3 ประการคือ

1) ควรรวมทุกฝ่ายให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากขี้น (more exclusivity)

2) ดำเนินการลดความขัดแย้งแบบลูกผสม (hybrid model) คือแทนที่จะมุ่งสู่ “ข้อตกลงสันติภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์” (comprehensive) ให้พยายามหาข้อตกลงในประเด็นที่มีโอกาสสำเร็จเป็นเรื่องๆ ไป โดยมีเหตุผลดังนี้ สมมุติว่าเป้าหมายของฝ่ายสันติภาพคือการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพ ก็ขอให้ถือว่านั่นเป็นเป้าหมายระยะยาว เพราะประชาธิปไตยดังกล่าวเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกกับความเป็น “รัฐพันลึก” ที่ยังมีอำนาจและอิทธิพลอยู่อย่างมาก แทนที่ฝ่ายสันติภาพจะย่ำอยู่กับที่ โดยไม่มีความคืบหน้าหรือผลสำเร็จ ก็ควรทำบางประเด็น เช่น นโยบายภาษา นโยบายการศึกษา นโยบายการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ฯลฯให้เป็นผลสำเร็จไปพลางก่อน สังคมจะเป็นประชาธิปไตยมากหรือน้อย ก็ต้องทำเรื่องเหล่านี้แหละ คล้ายกับที่นายแพทย์ประเวศเสนอให้สะสมพลังปัญญาของนิสิตที่คิดเป็น-ทำเป็น จำนวน 1 ล้านคนให้กระจายอยู่ทุกจังหวัด

3) จัดกิจกรรมในสองระดับ คือ ระดับกว้าง เช่น จัดการสานเสวนาที่เปิดกว้าง (grand dialogue) ปีละครั้ง เพื่อการถกแถลงเกี่ยวกับอนาคตระยะยาวโดยมีการมองความยุติธรรมและความสงบสุขในทุกแง่ทุกมุม และระดับเจาะจง ที่มีการขับเคลื่อนประเด็นนโยบายระยะกลางที่มีโอกาสประสบผลสำเร็จ

สำหรับอนาคตของสังคมการเมือง ผมไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะใช้ยุทธศาสตร์ “ปู” ที่รู้จักเลี้ยว-วก-ไปมา เมื่อเจออุปสรรคระหว่างที่เดินไปสู่ทะเลกว้าง แต่ถึงอย่างไร ผมยังอยากเสนอเป้าหมายระยะกลางคือ การมีรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับได้เพราะมีกระบวนการได้มาที่ชอบธรรม น่าจะลองพยายามดู และระหว่างที่ลอง น่าจะฝึกทองเลนบ้าง เพราะการฝึกเช่นนี้จะช่วยให้สามารถรวมทุกฝ่าย และช่วยให้ตระหนักถึงความเป็นอนิจจัง ไม่น่าจะมีมิตร-มีศัตรูที่ถาวร

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด คริสตัล พาเลซ พบ แมนซิตี้ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68