posttoday

อย่าเป็นอักกลี่ อเมริกัน

25 มีนาคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

**************

มีรายงานข่าวในสื่อโซเชียลและสื่อสิ่งพิมพ์ ที่หลายคนอาจไม่ให้ความสนใจ แต่เนื้อหาของข่าวนี้กลับมีความสำคัญต่อคนไทยที่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะเป็นอีกข่าวหนึ่งที่ยืนยันพฤติกรรมของวอชิงตันต่อรัฐบาลไทยและประชาชนไทย

สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายและการทูตของวอชิงตัน โดยเฉพาะจากพรรคดีโมแครตต่อประเทศไทยและประชาชนคนไทย สาระของข่าวเริ่มว่า " เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัคราชทูต ไมเคิล ฮีธ พบกับมารดาของนักเคลื่อนไหว 3 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ โดยเป็นการพบปะตามคำขอของพวกเธอ"

สิ่งที่หลายคนตั้งข้อสังเกต คือ ส่วนใหญ่ สถานทูตมักจะส่งเจ้าหน้าที่ทูตระดับกลางมารับข้อร้องเรียนดังกล่าว แต่ครั้งนี้ ไมเคิล ฮีธ อุปทูต รักษาการแทนเอกอัคราชทูต ให้ความสำคัญมากถึงกับลงมารับคำร้องเรียนโดยตรง เท่ากับเป็นการส่งสารทางการทูต ว่า เรื่องนี้ อเมริกันสนใจเป็นพิเศษนะ (ทั้งที่เรือ่งดังกล่าวเป็นกิจการภายในและเป็นไปตามกระบวนทางกฎหมายของไทย)

การยื่นหนังสือแบบนี้คงไม่ใช่เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน แต่ต้องมีการติดต่อประสานงานกันไว้ก่อน ในกรณีนี้ โดยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งเป็นผู้นำไป เท่ากับสถานทูตสามารถอ้างว่า เป็นการริเริ่มโดยคนไทยกันเอง

อย่างไรก็ดี เรื่องพวกนี้รู้กันดีว่าสองฝ่ายมีการ “เตี๊ยม” กันมาก่อน และใช้สื่อเผยแพร่ เพื่อส่งผลกระทบต่อรัฐบาล

เป็นที่เข้าใจว่า หากสถานทูตไม่ส่งคนมารับ อเมริกาก็จะเสียหายเพราะอเมริกาถูกยกย่องให้เป็น “ผู้พิทักษ์” ประชาธิปไตยและสืทธิมนุษยชน ใครอยากยื่นหนังสือร้องเรียนให้กับสถานทูตสหรัฐ ก็พยายามโยงในเรื่อง “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง เข้าไว้

“ประชาธิปไตย”และ”สิทธิมนุษยชน” เป็นเครื่องมือสำคัญในนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอเมริกันที่ใช้ในการต่อรอง กดดันประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย รัฐบาลพรรคดีโมแครตใช้ประเด็นนี้กดดันไทยมาโดยตลอดเพื่อให้รัฐบาลทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผลประโยชน์ของสหรัฐ

ย้อนกลับไปสมัยนางฮิลลารี คลินตัน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลบารัค โอบามา สถาบันกษัตริย์ของไทยขณะนั้นถูกนางฮิลลารี่กดดันอย่างมาก ทูตอเมริกันขณะนั้นแสดง กิริยาไม่เหมาะสมต่อสถาบันกษัตริย์ของไทย

นางทูตคนนี้เอาใจนายเต็มที่ โดยหวังว่า หากนายได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นางจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีรับผิดชอบเอเชียแปซิฟิค ซึ่งดูแลประเทศไ ทยด้วย แต่นายสอบตกแบบคาดไม่ถึง

คนไทยหายใจโล่งออกในช่วงห้าปีท่ผานมาเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ครองอำนาจ เพราะเขาสนใจเรื่องการปรับดุลการค้าที่อเมริกาเสียดุลมากกว่า เมื่อรัฐบาลไทยปรับดุลการค้าที่ไทยได้เปรียบสหรัฐโดยซื้อสินค้าอเมริกันมากขึ้น ลดช่องว่างการได้เปรียบดุลการค้าน้อยลง ทรัมป์ก็โอเค

วันนี้ พรรคดีโมแครตกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่งแม้โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องทำตามนโยบายของพรรคในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ส่วนบรรดาคนไทยที่หากินกับเรือ่งพวกนี้ก็เริ่มคึกคักมากขึ้น

ประเด็นของบทความวันนี้ อยากจะให้ผู้อ่านพิจารณาคำแถลงของสถานทูตในย่อหน้าต่อมา ที่ว่า “ อุปทูตฮีธ และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัคราชทูตสหรัฐคนอื่น ๆ ได้พบปะกับชาวไทยในหลากหลายภาคส่วนอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล เจ้าหน้าที่ทหาร นักธุรกิจ นักวิชาการ หรือผู้นำเยาวชน"

ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมาย ความกังวล และประเด็นที่ชาวไทยให้ความสำคัญ

"การพบปะกันเช่นนี้ สะท้อนถึงงานหลักของเจ้าหน้าที่การทูต อันได้แก่ การแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมองที่กว้างขวางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง และอื่นๆ ของพลเมืองในประเทศที่ประจำการอยู่ “

คำแถลงดังกล่าว เพื่อสร้าง “ความชอบธรรม” ของเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกัน ที่ออกไปพบปะกับบุคคลต่าง ๆ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด โดยเฉพาะในระยะสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดหูขัดตาคนไทยอย่างมาก อุปทูตฮีธต้องการบอกว่า นับแต่นี้ไป หากเราเห็นนักการทูตอเมริกันออกไปวุ่นวายในจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะจังหวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในภาคเหนือ เป็นต้น หรือห่ากเราเห็นนักการทูตอเมริกันคุยกับข้าราชการไทย หรือนักธุรกิจไทย ฯลฯ ตามห้องอาหารของโรงแรมต่าง ๆ นั่นคือ “ การแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมองที่กว้างขวางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง และอื่น ๆ ของคนไทย” นั่นคือ ความชอบธรรมที่นักการทูตอเมริกันพึงมี

จริงอยู่ การปฏิบัติหน้าที่ของนักการทูตในการแสวงหาข้อมูล ความเป็นไปของประเทศที่ตนไปประจำอยู่ เป็นเรื่องถูกต้องที่ถูกกำหนดไว้ในอนุสัญญาเจนีวา แต่ต้องไม่กระทำการล้ำเส้นเช่น การยุแหย่ ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง จัดตั้งมวลชนเพื่อใช้ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ประนีประนอมผลประโยชน์ของอเมริกัน ฯลฯ แบบนี้ฟถือว่า เป็น “การแทรกแซงกิจการภายใน” ของประเทศที่ตนประจำอยู่

“การปฏิบัติหน้าที่ทางการทูต” กับ “การแทรกแซงกิจการภาย” เป็นเส้นแบ่งบาง ๆ ที่บางครั้งก็มองเห็นไม่ชัด “

โดยทั่วไป นักการทูตหรือสถานทูตต่างประเทศสามารถหาข่าวทุกด้านของประเทศไทยได้จากแหล่งข่าวเปิด ซึ่งคิดแล้วมากกว่าร้อยละ 95 ของรายงานจากสื่อโซเชียล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุกระจายเสียง ที่เหลือจากนั้นได้จากการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ไทยผ่านช่องทางที่กำหนด เช่น ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ อยากรู้อะไรก็ติดต่อกับกระทรวงต่างประเทศได้

ถ้าเรื่องสำคัญมาก เอกอัคราชทูตขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีโดยตรง

ระยะหลังมีการอะลุ่มอล่วยกันมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันจะออกไปติดต่อกับกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง การติดต่อกับกระทรวงต่างประเทศฯก่อน ก็เพื่อกระทรวงต่างประเทศจะประสานกับกระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวข้องในกาอำนวยความสะดวกทั้งด้านข้อมูลและความปลอดภัย บ่อยครั้งที่นักการทูตอเมริกันเดินทางไปพบปะกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในจังหวัดต่าง ๆ พบผู้นำนักศึกษา ฯลฯ ในต่างจังหวัดโดยตรง

แต่ที่สถานทูตไม่ได้พูดก็คือ เมื่อนักการทูตอเมริกันไปสร้างเครือข่าย “สายลับอิทธิพล” และสร้าง “กลุ่มกดดัน” ทางการเมือง ใช้ต่อรองกับรัฐบาล หรือล้มรัฐบาลที่ขวางผลประโยชน์สหรัฐ

ในสมัยรัฐบาลชุดหนึ่งที่มีการบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์อย่างกว้างขวางในคนไทยกลุ่มหนึ่ง นักการทูตอเมริกันหลายคนไปเยี่ยม “หมู่บ้านเสื้อแดง” ในภาคอีสาณ ซึ่งประกาศต่อต้านสถาบันกษัตริย์อย่างใกล้ชิด ประเด็นที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ในประเทศที่ตนไปประจำอยู่ นักการทูตทั่วไปจะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะถือว่าเป็นกิจการภายในของประเทศนั้น ๆ แต่นักการทูตอเมริกันนอกจากไปเยี่ยมแล้ว ยังมีการเผยแพร่ภาพถ่ายอย่างกว้างขวาง ทำให้คนไทยที่เทิดทูนสถาบันเคียดแค้นเป็นอย่างมาก

แม้นักการทูตอเมริกันเหล่านั้นจะอ้างว่าเดินไปตามคำเชิญขององค์กรหรือกลุ่มคนไทย กฌเป็นเหตุผลที่ไม่อาจยอมรับได้ รัฐบาลทุกประเทศจะอบรมนักการทูตของตนไม่ให้เข้าไปเกียวข้องกับการเมืองภายในและเรื่องที่ละเอียดอ่อนภายในประเทศที่ตนไปประจำอยู่ แต่นักการทูตตอเมริกันไปแสดงตนชัดเจนว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับกลุ่มล้มเจ้า เวลาถูกฝ่ายไทยตั้งข้อสังเกตุ นักการทูตอเมริกันขณะนั้นอ้างว่า นี่เป็น “การทูตสาธารณะ” ที่ทูตจะออกไปพบปะกับคนท้องถิ่นกลุ่มไหนต่าง ๆ แต่ท่านต้องไม่ลืมคำว่า “มรรยาทางการทูต” โดยเฉพาะจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ละเอียดอ่อน

ถ้าท่านคิดว่าจะสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีกับ “ประชาชนคนไทย” ท่านต้องระมัดระวังเรื่องที่ “ละเอียดอ่อน” สำหรับคนไทยและความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์

คนอเมริกันนี่ก็แปลก ชอบไปวุ่นวายเรื่องที่ละเอียด่อ่อนของประเทศที่ตนไปประจำอยู่ เช่น ประเทศไทย ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันคนใหม่ได้โทรศัพท์ติดต่อกับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นอกจากแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับสถานการณ์ในพม่าแล้ว ยังแสดงความห่วงใยถึงเรื่องรัฐบาลไทยใช้ ป.วิอาญามาตรา 112 กับผู้ที่ทำผิดกฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อีก ซึ่งเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยโดยตรง

คนไทยไม่เข้าใจว่ารัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันมาเกี่ยวอะไรด้วย

เวลานี้ อเมริกาไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของโลกที่จะชี้นิ้วบงการประเทศอื่นให้ทำตามความต้องการของตนได้ และไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะยอมก้มหัวให้อเมริกันตลอดไป ขอให้ท่านพึงสำเหนียกไว้

เราไม่อยากให้ท่านอุปทูตฮีธเดินผิดทาง การสนับสนุนกลุ่มล้มเจ้าถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างชัดเจน ไม่อยากให้ท่านถูกคนไทยมองว่าเป็น “อักลี่ อเมริกัน” (จบ )

ข่าวล่าสุด

จากฟื้นฟู สู่ฟ้องร้อง! เปิดจุดวัดใจ "การบินไทย" ปี 2569 น่าซื้อ หรือ ถอย ?