posttoday

ศาลรัฐธรรมนูญ มาถูกที่ถูกเวลา

18 มีนาคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

*****************

ควรจะจบกันได้เสียที และเริ่มต้นกระบวนการในการแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่ฝ่ายค้านต้องการต่อไป ตามกระบวนการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ซึ่งมีผลผูกพันให้ทุกองค์กรรวมทั้งรัฐสภาต้องปฏิบัติ

คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะเข้าใจ เพราะศาลพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุดและคลุมทุกมิติ แม้คนไม่ได้เรียนกฎหมายอ่านแล้วก็ควรเข้าใจ ยกเว้นว่าไม่พยายามจะเข้าใจ

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่คำวินิจฉัยที่ผ่านมติ 8 ต่อ 1 ตอบข้อหารือของ ส.ว. ที่สนอผ่านประธานรัฐสภา สรุปสั้น ๆ ตรงประเด็น เข้าใจง่ายที่สุด คือ (1) รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญได้ (2) แต่ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องกลับไปถามประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเสียก่อนว่า ประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ (3) เมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง

และชัดเจนมากขึ้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ออก “คำวินิจฉัยกลาง” ตามมาเมื่อ 15 มีนาคม 2564 สรุปสาระสำคัญว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นมี เจตนารมณ์ให้แก้ไขได้เป็นรายมาตราเท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติใดที่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมชนิดที่จัดทำขึ้นใหม่ทั้งฉบับ เจตนารมณ์ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญและรักษาความต่อเนื่องของรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ส่วนการที่ฝ่ายค้านขอแก้ไขเพิ่มเติม โดยเสนอหมวด 15/1 ขึ้นมานั้น ศาลรัฐธรรมนูญมองว่า เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2560 และเป็นการจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาแทน อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้

ดังนั้น ถ้าฝ่ายค้านดึงดันที่จะยกเลกรัฐธรรมนูญปี 2560 และตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องกลับไปถามประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเสียก่อน โดยการทำประชามติถามประชาชนว่า จะยอมให้เลิกของเก่าและร่างใหม่หรือไม่ หากประชาชนยอม เมื่อจัดทำร่างใหม่เสร็จแล้ว ก็ต้องไปถามประชาชนอีกครั้งว่าเหนชอบด้วยไหม

ในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ผ่านการจัดทำประชามติเมื่อ 7 สิงหาคม 2559 โดยประชาชนร้อยละ58.07 หรือ 16.8 ล้านคนเห็นชอบ มีผู้ไม่เห็นชอบร้อยละ 41.91 หรือ 10.9 ล้านคน จากผู้มาใช้สิทธิ 29.7 ล้านคนหรือร้อยละ 59.4 ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด ซึ่งถือวามากทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับครั้งก่อน ๆ และมีบัตรเสียร้อยละ 3.15

การปกป้องความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญและการรักษาความต่อเนื่องของรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องเป็นเรื่องของส่วนรวม ไม่ใช่เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากฉวยโอกาสลบทิ้ง หรือแก้ไขให้เป็นไปตามผลประโยชน์ของตนและพวก หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมก็ต้องเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นถึงเหตุผลและความจำเป็นว่าต้องแก้ไขจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญปี 2560 จึงกำหนดให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างน้อย พรรคฝ่ายค้าน และวุฒิสมาชิกมีสิทธิมีเสียงในการแก้ไขเพิ่มเติมด้วย และสุดท้าย ต้องไปขอความเห็นชอบจากประชาชนซึ่งเป็นองค์อธิปัตย์ผ่านการทำประชามติ

ถ้าฝ่ายค้านจะขอแก้ไขรายมาตราตามที่สมาชิกวุฒิสภาเสนอ ก็ทำได้เลย ไม่ต้องทำประชามติก่อน (ยกเว้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ) แต่ถ้าจะร่างใหม่ ก็ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน เสร็จแล้วก็ต้องเอาไปให้ประชาชนลงมติเห็นชอบอีกครั้ง

ส่วนค่าใช้จ่ายในการทำประชามติแม้เป็นเงินจำนวนหมื่นล้านบาท ก็ไม่ต้องห่วง เพราะรัฐบาลพร้อมที่จัดหาให้ อีกทั้งเป็นการสอนให้ประชาชนซึ่งเป็นองค์อธิปัตย์ได้รู้และแสดงความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนเองที่ถูกสถาปนาให้เป็น “องค์อธิปัตย์” ว่าการเป็นองค์อธิปัตย์ ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั้น มีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรบ้าง

หลายคนตั้งคำถามวา ทำไมนักการเมืองบางพรรคถึงกระเหี้ยนกระหืออยากแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งได้รับฉายาหลายอย่าง ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ “ รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง “ เพราะมีบทลงโทษเรื่องการทุจริตคอรั่ปชั่นอย่างรุนแรง จึงทำความไม่พอใจแก่นักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่หากินจากงบประมาณของชาติ ถ้าถูกจับได้และหนีไปอยู่ต่างประเทศ ต้องหนีตลอดไป หากกลับมาต้องคิดคุกก่อน ประกันตัวไม่ได้ คดีความไม่มีวันหมดอายุ และพิจารณาคดีลับหลังได้ คนโกงมีโอกาสติดคุกตลอดชีวิตหรือถูกประหารชีวิต นักการเมือง ข้าราชการประจำ ฯลฯ ที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือรวยเพราะฟอกเงิน มีสิทธิติดคุก 15-20 ปี และถูกยึดทรัพย์ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศเมื่อมีคดี พรรคอาจถูกยุบ ตัวเองอาจถูกห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิตหรือติดคุกก็ได้

อย่างไรก็ดี มีนักการเมืองที่ต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลอย่างอื่น เช่น ไม่ชอบ วิธีการเลือกตั้ง ฯลฯ เพราะนักการเมืองยังไม่ชินกับระบบดังกล่าว โดยยังไม่เข้าใจว่าวิธีนี้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุด ประเด็นที่ ส.ส.เห็นพ้องกันมากที่สุดว่าสมควรแก้ไข คือ การให้ ส.ว. มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีในห้าปีแรก (ซึ่งเป็นคำถามพ่วงของสมาชิก สนช.และผ่านประชามติด้วยเสียงใกล้เคียงกบประชามติรวม) ทำให้ ส.ว.มีสิทฺธิเลือกนายกรัฐมนตรีได้สองครั้ง

ประเด็นที่ฮิตที่สุดคือ กล่าวหาว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลผลิตของเผด็จการ คสช. ดังนั้น ต้องล้มทั้งหมด

แต่เหตุผลที่แท้จริงแล้ว นักการเมืองที่คิดจะทุจริตคอรัปช่น ล้วนกลัวรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่ถ้าไม่คิดจะโกง ก็ไม่ต้องกลัว

เราเชื่อว่า ประชาชนองค์อธิปัตย์ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ จะไม่ยอมให้ฉีกรัฐธรรมนูญปี 2560 ฉบับปราบโกงแล้วร่างขึ้นใหม่ตามความต้องการของนักการเมือง ส่วนจะแก้ไขเป็นรายมาตรานั้นทำได้ แต่จะทำอะไรก็ขอให้เกรงใจประชาชนองค์อธิปัตย์ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญด้วย (จบ)

***********************

ข่าวล่าสุด

Waymo เตรียมติดตั้ง Gemini ให้เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะบน Robotaxi