posttoday

พ่อแห่งแผ่นดิน: แนวคิดพ่อปกครองลูกของอังกฤษ: เหตุผลและข้อโต้แย้ง (1)

17 ธันวาคม 2563

การค้นพบความรู้ใหม่ๆในศตวรรษที่สิบเจ็ดได้สั่นคลอนความเชื่อและคติคิดเดิมๆที่ถือกันอยู่ในยุโรป และคติคิดที่ไม่พ้นถูกท้าทายคือ คติการปกครองแบบเทวสิทธิ์ที่อ้างว่าพระมหากษัตริย์มีอำนาจอันชอบธรรมในการปกครองโดยโยงกับอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อถูกท้าทาย ผู้ที่ตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องหาวิธีคิดที่ทันสมัยมาอธิบายความชอบธรรมในอำนาจการปกครองของพระมหากษัตริย์

นักคิดหัวก้าวหน้า (ในสมัยนั้น) อย่างโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) สร้างทฤษฎีสัญญาประชาคมมาอธิบายความชอบธรรมของพระมหากษัตริย์โดยอ้างว่าอำนาจพระมหากษัตริย์มาจากอำนาจของประชาชน แต่นักคิดบางคนไม่ยอมรับวิธีคิดแบบนั้น หนึ่งในนั้นคือ เซอร์โรเบิร์ต ฟิลเมอร์

ฟิลเมอร์ถือเป็นขุนนางอำมาตย์ผู้จงรักภักดีและมุ่งปกป้องอำนาจการปกครองของพระมหากษัตริย์แรงกล้า เขาได้เขียนหนังสือชื่อ Patriarcha or the Natural Power of Kings หรือ “ปิตาธิปไตย: อำนาจตามธรรมชาติของพระมหากษัตริย์” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1680 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแนวคิดการปกครองแบบพ่อปกครองลูกของอังกฤษก็ว่าได้ ทฤษฎีการเมืองของฟิลเมอร์ถือได้ว่าเป็นความพยายามเฮือกสุดท้ายในการรักษาระบอบกษัตริย์อำนาจสมบูรณ์เด็ดขาดไว้ด้วยการประยุกต์วิธีคิดแบบโบราณ

จุดมุ่งหมายในหนังสือของฟิลเมอร์คือต้องการหักล้างทฤษฎีการเมืองของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes: 1588-1679) นักคิดร่วมชาติเดียวกันกับเขา แถมยังเกิดปีเดียวกันด้วย ทฤษฎีการเมืองของฮอบส์กล่าวได้ว่าได้รับอิทธิพลวิธีคิดทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากกาลิเลโอ (1564-1642) แม้ว่าทฤษฎีการเมืองของฮอบส์จะลงเอยด้วยการสนับสนุนระบอบกษัตริย์อำนาจสมบูรณ์เด็ดขาดไม่ต่างจากความต้องการของฟิลเมอร์ แต่สิ่งที่ฟิลเมอร์รับไม่ได้ในทฤษฎีการเมืองของฮอบส์ก็คือ คำอธิบายรูปแบบการปกครองเดียวกันด้วยวิธีคิดสมัยใหม่ นั่นคือ การอธิบายว่า “ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้เท่าเทียมกัน”

พ่อแห่งแผ่นดิน: แนวคิดพ่อปกครองลูกของอังกฤษ: เหตุผลและข้อโต้แย้ง (1)

พ่อแห่งแผ่นดิน: แนวคิดพ่อปกครองลูกของอังกฤษ: เหตุผลและข้อโต้แย้ง (1)

แม้ว่าข้อความนี้จะไม่เป็นที่แปลกประหลาดสำหรับคนในโลกสมัยใหม่อย่างเราๆ แต่สำหรับผู้คนในศตวรรษที่สิบเจ็ดแล้ว ถือว่าเป็นทัศนะที่แปลกใหม่และรุนแรงมาก มันขัดแย้งและท้าทายความคิดความเชื่อที่มีมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดในคริสต์ศาสนาที่เชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ รวมทั้งถ้าย้อนกลับไปถึงความคิดทางการเมืองกรีกและโรมันโบราณ ก็ไม่มีนักคิดกระแสหลักคนใดจะกล่าวเช่นนั้น เพราะในสมัยกรีกโบราณ คนที่จะเท่ากันคือคนที่เป็นพลเมืองของนครรัฐนั้นเท่านั้น โดยเฉพาะนครรัฐเอเธนส์ คนที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่เป็นพลเมืองก็จะถือว่าเป็นเสรีชนและมีความเท่าเทียมกันในทางกฎหมาย ที่สำคัญผู้ชายเท่านั้นที่จะถูกนับให้เป็นพลเมือง ส่วนผู้หญิง เด็ก คนต่างด้าวและทาสไม่นับเป็นพลเมืองและมีสถานะที่ต่ำกว่าและไม่มีสิทธิ์ทางกฎหมายทัดเทียมผู้ที่เป็นพลเมือง

ฟิลเมอร์ไม่เข้าใจว่า ฮอบส์เอาเหตุผลและข้อมูลเชิงประจักษ์อะไรมากล่าวอ้างสนับสนุนความคิดของตนที่ว่า ธรรมชาติสร้างคนให้เท่าเทียมกัน เป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร เพราะสำหรับฟิลเมอร์ เขาแย้งว่า หากคิดย้อนกลับไปในสภาวะแรกเริ่มที่มีมนุษย์ อย่างน้อยคนที่เกิดมาก็จะต้องมีผู้ให้กำเนิด และก็ต้องอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของผู้ให้กำเนิด

ในปี ค.ศ. 1648 ฟิลเมอร์ได้เขียนบทความชิ้นหนึ่ง ตั้งคำถามว่า “มีคนอังกฤษคนใดที่เกิดมาไม่เสรีบ้าง ?” (Are there any Englishmen that are not freeborn ?) คำตอบก็คือ ทุกคนนั่นแหละ เพราะเขาชี้ว่า “ทุกคนที่เกิดมา ไม่มีทางที่จะเป็นอิสระเสรีตั้งแต่แรกเกิดได้ (freeborn) เพราะทันทีเมื่อเขาเกิดมาแล้ว เขาจะต้องตกอยู่ในความดูแลของผู้ที่ให้กำเนิดเขา” (“every man that is born, is so far from being freeborn, that by his very birth he becomes a subject to him that begets him.”)

แม้ว่า เหตุผลของฟิลเมอร์น่าจะรับฟังได้ เพราะถ้าพูดถึง “การเกิดมาแล้วเสรี” (freeborn) ไม่มีใครขึ้นอยู่กับใครเลย ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะทารกที่เกิดมาทุกคนย่อมต้องอยู่ภายใต้การดูแลของใครสักคน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นคนที่ให้กำเนิด ซึ่งฟิลเมอร์ให้น้ำหนักไปที่ผู้เป็นบิดาเป็นสำคัญ

ถึงแม้ว่า จะมีผู้แย้งว่าน่าจะเป็นมารดา เพราะมีกรณีที่ลูกอาจจะไม่มีพ่อก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เหตุผลของฟิลเมอร์ตกไปแต่ประการใด เพราะประเด็นสำคัญของฟิลเมอร์อยู่ที่ความเป็นอิสระแรกเกิดของมนุษย์ นั่นคือ คนเราเกิดมาย่อมต้องอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ หรือผู้เลี้ยงดูมาก็ตาม ไม่มีทางที่จะเป็นอิสรเสรีได้

ในยุคสมัยของฟิลเมอร์ มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของเขา อย่างเช่นสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ จอห์น โจนส์ (John Jones: 1610-1692) ออกมาโต้ว่า ถ้าจะถามว่าคนอังกฤษคนใดที่เกิดมาเสรี คำตอบก็คือ “ชาวไร่ชาวนาคือ “ตัวอย่างที่ดีที่สุดของเสรีชนในอังกฤษ” ขณะเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1655 พวกอนาแบพติสท์ (Anabaptist) ยืนยันว่า พวกเขาคือเสรีชนของอังกฤษ และไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากจากสิทธิเสรีภาพที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เกิด

ในปี ค.ศ. 1656 จอร์จ ฟอกซ์ (George Fox: 1624-1691) ผู้ก่อตั้งเควกเกอร์ก็ออกมาตอบโต้และยืนยันในการเป็นเสรีชนตั้งแต่เกิด (freeborn) และจะไม่มีวันยอมให้ใครมาจำกัดสิทธิในชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินของพวกเขาได้จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่าผิด และยังมีลอโดวิค มักเกิลตัน (Lodowick Muggleton: 1609-1698) ผู้นำทางศาสนาที่เรียกตัวเขาเองว่า “ชาวอังกฤษที่เกิดมาเสรี” (“a freeborn Englishman”) ซึ่งโดยรวมๆ กล่าวได้ว่า มีคนอังกฤษจำนวนไม่น้อยที่ออกมาตอบโต้ฟิลเมอร์และยืนยันการเป็น “การเกิดมาอย่างเสรี” ของพวกเขา

ศตวรรษที่สิบเจ็ดเป็นช่วงเวลาที่อังกฤษต้องเผชิญกับความท้าทายของแนวคิดใหม่ๆ สิ่งหนึ่งในบรรดาหลากหลายสิ่งที่ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ของอังกฤษต้องเผชิญก็คือ แนวคิดเรื่อง “การเกิดมาเสรี” หรือ “freeborn” ซึ่งถือเป็นศัพท์แสงที่เป็นสโลแกนหรือคำขวัญติดปากของฝ่ายหัวรุนแรงทางการเมืองที่ใช้ในการต่อสู้กับระบบชนชั้นในสังคมการเมืองอังกฤษในศตวรรษที่สิบเจ็ด

นอกจากจะพยายามหักล้างแนวคิดเรื่อง “freeborn” ที่เกิดขึ้นในการเมืองอังกฤษในสมัยของเขาแล้ว ฟิลเมอร์ในฐานะที่สนับสนุนอำนาจกษัตริย์ก็ยังวิจารณ์คำกล่าวอ้างของฝ่ายรัฐสภาไว้อย่างน่าสนใจ นั่นคือ ในการทัดทานกับอำนาจกษัตริย์ ฝ่ายรัฐสภามักจะกล่าวอ้างว่า สภามีอำนาจอันชอบธรรมกว่าองค์พระมหากษัตริย์ เนื่องจากพวกเขาเป็นตัวแทนของประชาชนของอังกฤษ ซึ่งฟิลเมอร์โต้แย้งและชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้ว สภาผู้แทนราษฎรหรือ the House of Commons นั้นเป็นตัวแทนของคนเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น เพราะบรรดา ส.ส. ในสภาได้รับเลือกมาจากคนเพียงไม่ถึงหนึ่งในสิบของคนอังกฤษทั้งหมด เพราะในเวลานั้น คนอังกฤษที่มีสิทธิ์เลือกตั้งนั้นล้วนแต่เป็นผู้ชาย และไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ชายทั้งหมดด้วยซ้ำ เพราะผู้มีสิทธิทางการเมืองในเวลานั้นไม่รวมผู้หญิงและคนจน

กล่าวได้ว่า ในช่วงแรกๆที่อังกฤษเริ่มเข้าสู่การเป็นสังคมสมัยใหม่ สังคมอังกฤษดำเนินไปภายใต้แนวคิดปิตาธิปไตย (Patriarchalism) โดยเริ่มต้นจากความคิดความเชื่อที่ว่า หน่วยทางสังคมพื้นฐานคือครอบครัว และหัวหน้าหรือผู้นำของหน่วยทางสังคมนี้คือผู้เป็นพ่อ และครอบครัวถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคม สังคมอังกฤษในช่วงก่อนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเป็นสังคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจากหลากหลายครอบครัว และชุมชนในระดับหมู่บ้านก็มีลักษณะที่เป็นปิตาธิปไตย นั่นคือ พ่อในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในอำนาจทางการเมืองการปกครอง

ส่วนคนรับใช้ ผู้หญิงและเด็กถูกจัดรวมอยู่ภายใต้ตัวตนของผู้ที่มีสถานะทั้งเป็นพ่อและผู้ปกครอง เด็กๆมีหน้าที่หลักที่ต้องเชื่อฟังพ่อ ซึ่งสังคมอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่สิบเจ็ดได้ปลูกฟังความคิดความเชื่อและค่านิยมที่ทุกคนต้องเคารพเชื่อฟังผู้เป็นพ่อผ่านทางคำสอนทางศาสนาและทางสังคม

จะเห็นได้ว่า จริยธรรมและศีลธรรมในสังคมขณะนั้นได้ชี้ให้เห็นผลอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการที่ลูกๆขัดขืนไม่เชื่อฟังบิดา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือวรรณกรรมของเชคสเปียร์เรื่อง King Lear ซึ่งมีเนื้อเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าอำนาจอันชอบธรรมของกษัตริย์นั้นเกี่ยวพันกับอำนาจการปกครองของพ่อที่มีต่อลูก นั่นคือ การไม่เชื่อฟังพ่อก็เท่ากับเป็นการไม่เชื่อฟังกษัตริย์ด้วย

ใน King Lear การที่เรแกน (Regan) และกอร์เนริล (Goneril) ไม่เชื่อฟังผู้เป็นบิดาของพวกเขาได้นำพาไปสู่การพังทลายของบรรทัดฐานทางศีลธรรมทั้งหมด และนำไปสู่สภาวะสงครามกลางเมือง ตลอดทั้งเรื่อง King Lear การที่เหล่าลูกสาวไม่เชื่อฟังกษัตริย์เลียร์ (Lear) ผู้เป็นพ่อนั้นถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ “ขัดต่อธรรมชาติ”

ในขณะที่การเชื่อฟังพ่อของคอร์เดเลีย (Cordelia) เท่านั้นที่จะช่วยปกป้องธรรมชาติให้พ้นจากคำสาปได้ จากคำพูดของตัวละครที่ชื่อดุ๊กแห่งอัลบานี (Duke of Albany) เชคสเปียร์ได้ย้ำถึงความคิดที่ว่าสังคมมนุษย์ไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองได้เลยหากสายสัมพันธ์ครอบครัวเสื่อมสลาย อัลบานีกล่าวร้องว่า หากพระผู้เป็นเจ้าไม่ลงโทษบรรดาลูกสาวอกตัญญูของกษัตริย์เลียร์แล้ว “มวลมนุษย์จะถึงคราวที่ใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันและกัน ประดุจดังอสูรแห่งทะเลลึก” เชคสเปียร์ประพันธ์ King Lear ให้เห็นว่า ลูกสาวอกตัญญูเหล่านั้นหาใช่ลูกคนอีกต่อไป แต่เป็น “ลูกเสือ ลูกตะเข้” (“Tigers, not daughters.”) 

พ่อแห่งแผ่นดิน: แนวคิดพ่อปกครองลูกของอังกฤษ: เหตุผลและข้อโต้แย้ง (1)

             .

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด วอลเลย์บอลชาย ซีเกมส์ ไทย พบ ฟิลิปินส์ วันนี้ 28 ธ.ค.68