posttoday

อัฐยายทำร้ายยาย

18 เมษายน 2563

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

******************************

เงินห้าพันบาทอาจทำลายรัฐบาลที่คิดไม่รอบคอบนี้ได้ง่ายๆ

โครงการเยียวยาประชาชนในภาวะวิกฤติไวรัสร้าย คน(เฉพาะบางคน)ละ 5,000บาท ที่มีชื่อแสนซาบซึ้งว่า “เราไม่ทิ้งกัน” ที่กำลังมีปัญหาเป็นอย่างมากอยู่ในเวลานี้ โดยเฉพาะปัญหาในการบริหารจัดการของรัฐบาล อาจจะนำมาซึ่ง “ความคับแค้น” ทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่ จนกระทั่งสังคมเกิดความ “เคียดแค้น” โถมเข้าทำลายเสถียรภาพหรือความคงอยู่ของรัฐบาลนั้นได้

ผู้เขียนติดตามข่าวสารที่เกิดวิกฤติ “ความคับแค้น” นี้มาเป็นระยะ แต่ด้วยเหตุที่ไม่ทราบถึง “วิธีคิด” ของรัฐบาล ว่ามีที่มาหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร (ระหว่างวัตถุประสงค์ที่ว่า “จะช่วยประชาชนในภาวะวิกฤติ” หรือ “รักษาความนิยมและสร้างภาพให้รัฐบาล”) ทำให้ต้องคิดไปในด้านดีก่อนว่า รัฐบาลคงมีเจตนาดีจริงๆ ที่จะช่วยเหลือประชาชนในภาวะวิกฤติ เพียงแต่ “คิดไม่รอบคอบ-รอบด้าน” เพราะอาจจะมีสมมุติฐานที่มองคนไทยในแง่ไม่ดี เช่น คนไทยขี้ฉ้อ ศรีธนญชัย เอาแต่ได้ ฯลฯ จึงพยายามที่จะสร้างมาตรการต่างๆ มาควบคุมจนหยุมหยิม จนสร้างปัญหาพอกพูน เป็นวัวพันหลัก ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง

มีคำกล่าวว่า ถ้าเริ่มจากการคิดชั่ว ผลชั่วต่างๆ ก็จะตามมา รัฐบาลนี้อาจจะไม่ได้คิดชั่ว เพียงแต่รัฐบาลนั่นแหละที่ “สันหลังหวะ” คือพอคิดหรือทำอะไรก็จะมีคนออกมา “ชำแหละ” ความเลวร้ายของรัฐบาลออกมาให้เห็น (ที่เปรียบได้กับ “วัวสันหลังหวะ”) เนื่องจากหลายๆ รัฐบาลที่ผ่านมามีปัญหาจากความ “น่าเชื่อถือ”

เริ่มจากประชาชนมักจะมองการกระทำของทุกรัฐบาลว่ามุ่งหวังผลทางการเมืองเพียงแค่นั้น ไม่ได้มีความคิดที่จะทำอะไรเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ต่อมาก็มองว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา นอกจากจะทำอะไรเพื่อหวังผลทางการเมืองแล้ว ยังเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นโกงกิน ท้ายที่สุดผู้คนก็จะเหมารวมว่าสิ่งที่นักการเมืองได้กระทำทั้งหลายนั้น ก็คงจะ “ชั่วร้าย” และไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือ ดังที่มีสุภาษิตฝรั่งว่าไว้ว่า “น้ำนมเมื่ออยู่ในมือขี้เมา คนก็นึกว่าเหล้า”

รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่มากเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสภาพที่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ต้องพยายาม “กอดกันเอาไว้” ไม่ให้รัฐบาลนี้แตกแยกพังทลาย บางคนเปรียบว่ารัฐบาลนี้เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ อะไรลอยมาก็คว้าเอามากอดพยุงตัว บางทีก็เป็นไม้ผุ หมาเน่า หรือสวะ ซึ่งเมื่อเอามกอดแล้วก็ปล่อยทิ้งไม่ได้ จนกว่าจะขึ้นฝั่งได้ หรือจมไปสิ่งของที่เกาะมานั้นด้วยกัน นอกจากจะต้องมาอยู่ด้วยกันในสภาพที่ทุกลักทุเลแบบนี้แล้ว รัฐมนตรีของแต่ละคนแต่ละพรรค(บางทีก็พรรคเดียวกันนั้นด้วย)ก็ทำงานในลักษณะ “ต่างคนต่างทำ” หรือ “สร้างดาวคนละดวง” ในลักษณะที่แย่งกันสร้างความนิยม จนทำให้นโยบายหลายๆ อย่างมีความลักลั่น ที่สุดก็คือส่งผลที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และสร้างความเสียหายแก่สังคม

การแจกเงินในโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” เป็นตัวอย่างหนึ่งของ “การประชันความช่วยเหลือ” ที่รัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้คิดค้น (ที่มีการวิเคราะห์ออกมาอย่างนี้ก็เพราะเห็นว่าในตอนแรกๆ รัฐมนตรีคลังท่านออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นอกมั่นใจ ด้วยเสียงต้อนรับที่ฮือฮาจากประชาชน ทั้งยังออกมาให้ข่าวต่อมาอีกว่าจะให้เพิ่มอีก3 เดือน รวมเป็น 6 เดือน แต่พอมีปัญหาก็มาพูดใหม่ว่าจ่ายจริงๆ แค่ 3 เดือนนะ จนสร้างความวุ่นวายแก่ผู้คน

ล่าสุดนายกรัฐมนตรีก็ต้องออกมาแก้ตัวให้ บอกว่าได้แค่เดือนเดียว ถ้าจะให้ได้ 3 เดือนต้องรอ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเสียก่อน จึงอนุมานว่านี่คือการทำงานที่ไม่ได้รู้กันมาก่อน จึงแถลงอะไรที่ไม่ประสานสอดคล้องกันมาโดยตลอด) แต่ดูเหมือนว่ากำลังจะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งรัฐบาล เพราะโครงการนี้กำลังจะทำให้สังคมไทยหมดความไว้วางใจรัฐบาลแบบนี้

วาทกรรมเรื่องความอยุติธรรมในสังคมจะถูกขยายความออกไป กลายเป็นความร้าวฉานในสังคม ที่สุดรัฐบาลก็อาจจะเอาไม่อยู่ เพียงแต่ตอนนี้มีอำนาจเด็ดขาดช่วยพยุงเอาไว้ เมื่อใดที่อำนาจเด็ดขาดนี้หมดไป กลับเข้าสู่ภาวะประชาธิปไตยปกติ ก็คงจะต้านพลังสังคมที่โถมเข้าใส่ไม่ได้ (บางคนจึงคิดเลยเถิดไปว่า อาจจะมีผู้มีอำนาจคิดรวบอำนาจเบ็ดเสร็จนี้ให้ยืดยาวต่อไป โดยอาศัยเหตุผลที่ว่าถ้าเป็นประชาธิปไตยจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้)

ปัญหาคงยังไม่จบแค่นี้ นายกรัฐมนตรีเองก็แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา(นอกจากจะแก้ตัวและ “ตบปาก” รัฐมนตรีบางคนแล้ว)ว่า รัฐบาลยังจะต้องเข้าช่วยประชาชนอีกหลายกลุ่ม(มีเผลอหรืออาจจะตั้งใจพูดด้วยว่า มีกลุ่มนักธุรกิจ และการก่อสร้างต่างๆ เป็นต้น ซึ่งไม่รู้จะพูดทำไมให้ชาวบ้านรู้ว่าตลอดเวลานั้น รัฐบาลแคร์คนรวยมากกว่าคนจน) ซึ่งก็แสดงว่ารัฐบาลยังมีปัญหาที่แก้ไม่ได้อีกเยอะ อันแสดงถึงเรายังจะต้องเจอวิกฤติที่ร้ายๆ อีกมาก นอกเหนือจากโควิด 19 และรัฐบาลเรือรั่ว(ร่วมประกอบจากเชียงกง)

รัฐบาลคงคิดว่าเงินทองของประเทศไทยมีเยอะแยะหาได้ง่ายๆ ตอนนี้เงินงบกลางใช้หมดแล้ว ก็คิดจะกู้จากแหล่งต่างๆ มาใช้ ทั้งยังมีเงินคงคลังที่เป็นเงินสะสมของประเทศอีกจำนวนพอสมควร ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็คงจะไม่มีใครคัดค้าน(เพราะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบนี้) แต่อย่าลืมว่าเงินทั้งหลายที่ว่ามานั้น ส่วนใหญ่คือเงินภาษีอากรของคนไทย รัฐบาลคงคิดว่าจะเอาแจกเล่นโปรยปรายได้โดยง่าย เหมือนเอาอัฐยายมาซื้อขนมยาย จึงไม่ต่างอะไรกับการเล่นข่ายของ ที่หลอกล่อสร้างความเพลิดเพลิน(ลวงๆ)ให้แก่ลูกหลานไปวันๆ

ถ้าหลานรู้ว่ายายรักหลานหลอกๆ รักไม่เท่ากัน อัฐที่ยายโยนมาให้นี่แหละจะทำลายชีวิตของยาย

*******************************

ข่าวล่าสุด

Gemini ใน Google สู่การแปล 20 ภาษาผ่านหูฟังแบบเรียลไทม์