posttoday

ประวัติศาสตร์

26 มีนาคม 2562

ปัญหาที่หมักหมมอยู่ในวันนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวิชาประวัติศาสตร์เราอ่อนแอ ไม่มีการบันทึกและวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง การเรียนการสอนและการวัดผลที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เรื่อง ปกรณ์ นิลประพันธ์

ปัญหาที่หมักหมมอยู่ในวันนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวิชาประวัติศาสตร์เราอ่อนแอ ไม่มีการบันทึกและวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง การเรียนการสอนและการวัดผลที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ประวัติศาสตร์ของตัวเองยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ระบบการเมืองการปกครองจึงวนไปวนมา ย่ำอยู่กับที่ ไม่มีอะไรใหม่ ทั้งยังไม่เข้าใจประวัติศาสตร์สากลด้วย การค้าการลงทุนเราจึงมีปัญหาเพราะไม่รู้ Historical Background ของคู่ค้า ไม่รู้ Geopolitics หาความเชื่อมโยงไม่ได้

ในประเทศพัฒนาแล้ว วิชาประวัติศาสตร์เขาแข็งแรงมาก ทั้งประวัติศาสตร์ชาติของเขาเองและประวัติศาสตร์สากล เขาสอนให้คนรุ่นหลังรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้ง ความรุ่งเรือง ความตกต่ำ และบอกว่าบริบทในช่วงนั้นเป็นอย่างไร

การศึกษาอบรมด้านคุณธรรมจริยธรรมก็เน้นการท่องจำว่ามีอะไรบ้าง กี่ข้อ แต่ละข้อแปลว่าอะไร แทนที่จะมุ่งให้ลงมือทำ เลยได้แต่ท่องจำ ไม่เกิดเป็นวัตรปฏิบัติอันดีงามอันจะกลายเป็นสามัญสำนึกหรือสันดานที่ดีของปัจเจกบุคคล กลายเป็นคนพูดอย่างทำอย่างไป

การเน้นสะเต็มศึกษาจึงไม่สามารถแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ครบวงจร ตรงข้ามปัญหาด้านสังคมจะรุนแรงขึ้นจากความไม่รู้เรื่องทางประวัติศาสตร์ และการขาดสามัญสำนึกในด้านคุณธรรมจริยธรรม

ผมว่าวิชาประวัติศาสตร์ (และสังคมศาสตร์) เป็นศาสตร์สำคัญไม่แพ้สะเต็มที่กำลังเห่อกันอยู่นั่น เพราะถ้าสอนเป็น เรียนเป็น ศาสตร์แขนงนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเรื่องราวต่างๆ ในอดีต เกิดขึ้นจากสาเหตุใดและคลี่คลายไปเพราะอะไร และแน่นอนว่ามันทำให้เราคาดการณ์เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นและหนทางแก้ไขปัญหาได้หากมีสถานการณ์ซ้ำรอยเดิม

การเรียนการสอนวิชานี้จึงไม่ใช่เพียงท่องจำว่าอะไรเกิดขึ้นวันเดือนปีใดใครทำ อะไรเป็นเครื่องมือทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ เหมือนสอนนกแก้วนกขุนทองให้พูดเรื่อยเจื้อยแบบที่เราส่วนใหญ่ทำกันมาชั่วนาตาปี แน่นอนว่าการจำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ แต่ที่ต้องเพิ่มเติมเข้ามาคือการใช้สติและปัญญาในการ “คิดวิเคราะห์” อย่างเต็มที่ ไม่ต่างจากวิชาสะเต็ม

สำหรับผมในฐานะเด็กสายวิทยาศาสตร์ที่มาเรียนกฎหมาย และมีอาชีพเป็นนักกฎหมายเปรียบเทียบ วิชานี้ยากกว่าสะเต็มเพราะ “บริบทของประวัติศาสตร์” นั้นเป็นพลวัต หรือ Dynamics มี “ตัวแปร” หลากหลายที่ไม่สามารถจำกัดได้และไม่สามารถควบคุมได้

โดยเฉพาะสภาพสังคม ค่านิยมของสังคม รวมทั้งความคิดความอ่านของผู้คนที่แตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งเป็นอัตวิสัยหรือ Subjective ถ้าเราไม่ทราบบริบทเหล่านี้อย่างแท้จริง นั่งเทียนคิดเองเออเอง ก็ยากที่จะ “เข้าใจ” ประวัติศาสตร์ได้อย่างถ่องแท้และจะนำไปใช้อะไรไม่ได้เลย

แน่นอนเมื่อไม่รู้จักเรียนรู้จากอดีต การอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นการอยู่บนพื้นฐานของความไม่รู้ ขาด “ความเข้าอกเข้าใจร่วมกัน” ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นภาวะที่ผู้คนอยู่กันอย่างสับสนอลหม่าน ดังนี้การก้าวไปสู่อนาคตที่สลับซับซ้อนจึงเต็มไปด้วยความเสี่ยง

ที่เขียนมานี้เป็นแต่เพียงรำพึงรำพันประสาคนมีอายุนะครับ เห็นเขาใช้วาทะกระทำประทุษกรรมกันและกันในการหาเสียงแล้วก็เลยคิดว่าคนจำนวนหนึ่งไม่ได้ตระหนักเลยว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็น “บทเรียน” ที่เราไม่ควรทำซ้ำเพราะมันสร้างความบอบช้ำให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่และบ้านเมืองมามากมายหลายรอบแล้ว

ชอบแบบสร้างสรรค์ครับ