หาเสียงเลือกตั้ง
หลังคำสั่งหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 ให้ปลดล็อกพรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติ
เรื่อง สลาตัน
หลังคำสั่งหัวหน้า คสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 ให้ปลดล็อกพรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองล้วนเฝ้ารอมานานหลายปีตั้งแต่ คสช.ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ ดูเหมือนวันนี้ความเข้มข้นในสนามการเมืองบ้านเราจะสนุกสนานขึ้น เรียกว่าใครมีหมัดเด็ดน็อกคู่ต่อสู้เตรียมงัดกันออกมาได้เลย การเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ที่กำลังจะ(มี)ขึ้นเร็วๆ นี้ น่าจะเป็นตัวชี้วัดนโยบายพรรคและการหาเสียงที่ผ่านมาว่าสำเร็จหรือไม่
ตั้งแต่อดีตเราจะเห็นรูปแบบการหาเสียงกันหลากวิธี ที่พอจะนึกออกก็เริ่มตั้งแต่ การลงพื้นที่ “เปิดเวทีปราศรัยหาเสียง” ชูนโยบาย ใช้จิตวิทยา แนวคิด หลักการพูดที่โน้มน้าวใจ เรียกคะแนนจากประชาชนที่มาเฝ้าฟัง ถ้าพูดดีเข้าใจง่ายก็อาจได้ใจประชาชนเช่นกัน
ถัดมารูปแบบการหาเสียงอีกอย่างที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งยังมีไม้เด็ดคือ ลงพื้นที่พร้อมกับทีมงานหรือหัวคะแนนไปเดิน “เคาะประตูบ้าน” เพื่อพบปะพูดกับประชาชนถามสารทุกข์สุกดิบ ความต้องการที่อยากให้พรรคการเมืองช่วยถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้ว แถมยังแจกใบปลิวที่มีข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย รูปผู้สมัคร ประวัติชัดเจน หวังโน้มน้าวใจขอให้กาเบอร์สนับสนุน และมักได้คำตอบจากผู้สมัครว่า “ถ้าได้เป็นรัฐบาลเราจะทำให้แน่นอน“ รูปแบบหาเสียงลักษณะนี้เรียกว่า ใช้กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถือว่าได้ผลไม่น้อย ถ้าหากยิ่งลงพื้นที่สร้างการจดจำมากเท่าไร ประชาชนที่เห็นจนชินตาก็อาจเทใจให้เหมือนกัน
“ลูกออดอ้อน” รูปแบบการหาเสียงลักษณะนี้มันขึ้นอยู่กับลีลาไหวพริบของนักการเมืองว่าจะแพรวพราวแค่ไหน นักการเมืองบางคนขึ้นเวทีปราศรัย โปรยยาหอมชวนคนฟังเคลิ้มมาแล้วก็มี ยิ่งผสมกับคำพูดหวานๆ อาจได้คะแนนเสียงมาแบบไม่รู้ตัว ก่อนการเลือกตั้งพรรคการเมืองและนักการเมืองคงต้องตากแดดหน้าดำกันไปก่อน แต่ถ้าพรรคเข้าเส้นชัยเมื่อใดไว้ค่อยไปทำสปาผิวให้หล่อสวยเหมือนเดิม ฮ่าๆ
“รถโมบาย” พร้อมเครื่องขยายเสียง ส่วนใหญ่จะเป็นรถกระบะ สองข้างตัวรถติดป้ายหาเสียงขนาดใหญ่สองฝั่ง มีรูปถ่ายผู้สมัคร เบอร์ นโยบาย โฆษณากันเต็มที่ รถพวกนี้จะขับไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ทั่วประเทศ เปิดเครื่องเสียงดังกระหึ่ม เพื่อสร้างการรับรู้อีกรูปแบบกับประชาชน เนื่องจากบางครั้งตัวผู้สมัครคงไม่สามารถลงไปได้ทุกพื้นที่ กลยุทธ์หาเสียงดังกล่าวจึงถือเป็นรูปแบบที่หลายพรรคการเมืองใช้มานาน และเชื่อว่ายังคงใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน
รูปแบบหาเสียงอีกช่องทาง การ “ติดป้ายตามเสาไฟฟ้าในแหล่งคนพลุกพล่าน” จุดนี้ถือว่ามีประชาชนสัญจรไปมาเยอะ การนำป้ายหาเสียงไปติดตั้งจะช่วยเสริมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับพรรคการเมืองนั้นๆ ได้ดีพอสมควร แต่ถ้าพรรคใดไปติดป้ายขวางทาง อันนี้อาจสร้างความรำคาญและผิดกฎหมายได้ ต้องตีตลาดวางป้ายให้ถูกที่และต้องถูกทางด้วย
สุดท้ายที่อยากจะบอกคือ “การหาเสียงในโลกออนไลน์” ซึ่งข้อมูลจาก “We Are Social” ดิจิทัลเอเยนซี และ “Hootsuite” ผู้ให้บริการระบบจัดการ Social Media และ Marketing Solutions ได้รวบรวมสถิติการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ประเทศไทยมีประชากร 69.11 ล้านคน กว่า 53% อยู่ในเขตเมือง มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 57 ล้านคน มีผู้ใช้งาน Social Media มากถึง 51 ล้านคน มีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือสูงถึง 93.61 ล้านเลขหมาย
เราจะสร้างประโยชน์จากช่องทางโลกออนไลน์ได้อย่างไร อันนี้น่าคิดและน่าจะเป็นการบ้านที่พรรคการเมืองคงต้องไปแสวงหาประโยชน์จากช่องทางในโลกออนไลน์นี้ เพื่อกอบโกยคะแนนเสียงสู่เส้นชัยการเลือกตั้ง


