เห่อแฮน เนีย กับประวัติศาสตร์นางงามเวียดนาม
โดย ... มรกตวงศ์ ภูมิพลับ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดย ... มรกตวงศ์ ภูมิพลับ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 ที่ผ่านมา ชาวเวียดนามตื่นเต้นกันมากเมื่อ H’Hen Niê (เห่อแฮน เนีย) ติดท็อป 5 ด้วยบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นและการเดินที่สวยสง่าของเธอบนเวที ตลอดจนเรื่องราวชีวิตและทัศนคติของเชิงบวกของเธอ ทำให้เห่อแฮน เนีย ตัวแทนสาวงามเวียดนาม ชาติพันธุ์เอเด (E De) จากจังหวัดดั๊กลัก (Dak Lak) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงตอนกลาง (Central Highland) ของประเทศได้รับความสนใจไม่แพ้ผู้ครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สจากฟิลิปปินส์
เวทีประกวดสาวงามเวียดนามเกิดครั้งแรกในเวียดนามใต้เมื่อ ค.ศ.1955 ตรงกับสมัยที่ประธานาธิบดีโง ดิ่ญ เสี่ยม (Ngo Dinh Diem) ในยุคสงครามเย็น เวทีนางงามเป็นอำนาจทางด้านวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่า “มงลง” สาวงามชาติใด ก็สะท้อนว่าประเทศนั้นใกล้ชิดอเมริกา เวียดนามใต้ (the Republic of Vietnam) ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญได้ส่งตัวแทนเข้าประกวดไปจนถึงปี 1965 จากนั้นไม่กี่ปีก็หยุดไปเพราะสถานการณ์ทางการเมือง
ในปี 1975 หลังเวียดนามเหนือชนะและรวมประเทศแล้ว การประกวดนางงามกลับมาอีกครั้งเมื่อเวียดนามเปิดประเทศหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่ปี 1988 มีการประกวด “มิสเวียดนาม” (Hoa Hau Viet Nam) ทุก 2 ปี โดยผู้ชนะจะเป็นตัวแทนไปประกวด Miss World ในระดับนานาชาติ โดยเวทีสาวงามเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจในการเข้าสู่เวทีสากลของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นหนึ่งในการแสดงออกถึงความเป็นสากลเพื่อให้รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับการยอมรับ
ส่วนเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์สเวียดนาม (Hoa hau Hoan vu Viet Nam) จัดครั้งแรกในปี 2004 ผู้ได้ตำแหน่งได้แก่ หว่าง แข็ญ หง็อก (Hoang Khanh Ngoc) และยังคงจัดอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคนรุ่นเก่าจะไม่สนับสนุนลูกสาวให้เอาดีทางเวทีเหล่านี้ แต่ปัจจุบันการประกวดนางงามในเวียดนามกลับได้รับความนิยมมากขึ้น มีหลากหลายเวที เช่น มิสเวียดนาม มิสเวิลด์เวียดนาม มิสเอิร์ธเวียดนาม เวทีเหล่านี้เชื่อมกับการเข้าสู่วงการบันเทิงและการเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม นอกจากนี้ยังมีเวที Miss World Vietnameseรวมสาวงามเชื้อสายเวียดทั้งในและต่างประเทศมาประกวดเพื่อสร้างสัมพันธ์ในหมู่ชาวเวียดนามโพ้นทะเล นอกจากนี้การ
เติบโตของแวดวงสาวงามของเวียดนามยังการันตีด้วยตำแหน่ง Miss Earth 2018 ที่เหงวียน เฟือง แข็ญ (Nguyen Phuong Khanh) เพิ่งเอาชนะตัวแทนสาวงามทั่วโลกเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน
บนเวทีมิสยูนิเวิร์ส เวียดนามทำได้ดีที่สุดคือรอบ 15 คนสุดท้ายในปี 2008 ดังนั้น การที่เห่อแฮน เนียติดท็อป 5 คือการสร้างประวัติศาสตร์ กรณีนี้คือผลจากการทำงานหนักของกองประกวดเวียดนามที่ได้ตัวแทนซึ่งแสดงความหลากหลายเชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ การให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่ขับเคลื่อนสังคม การเตรียมบุคลิกภาพ การแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายที่ลงตัว ที่สำคัญคือทัศนคติของตัวแทนที่แสดงให้เห็นความเรียบง่าย มุมานะ พยายามปรับตัวและเรียนรู้จนได้รับเสียงชื่นชมจำนวนมาก
เพราะเห่อแฮน เนีย เกิดในครอบครัวเกษตรกรยากจน เธอเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 6 คน เป็นสาวงามเวียดนามคนแรกที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์ทำงานในไร่กาแฟตั้งแต่เด็ก เธอปฏิเสธการแต่งงานตามธรรมเนียมชาติพันธุ์เอเดที่ให้แต่งเมื่ออายุ 14 ปี และส่งเสียตัวเองจนเรียนจบด้านธุรกิจการเงิน เธอยังทำงานเป็นแม่บ้านและส่งเงินให้ทางบ้าน จากนั้นเข้าวงการจากการชนะประกวดนางแบบ Vietnam’s Next Top Model ในปี 2015 ก่อนจะได้มงกุฎมิสยูนิเวิร์สเวียดนาม 2017
เมื่อได้เป็นมิสยูนิเวิร์สเวียดนาม เธอแบ่งเงินรางวัลร้อยละ 70 เป็นทุนการศึกษาให้เด็กในบ้านเกิด สร้างห้องสมุดให้ชุมชน ทำโครงการช่วยเหลือผู้ป่วย HIV ในการตอบคำถามบนเวทีมิสยูนิเวิร์ส 2018 รอบ 5 คนสุดท้าย เธอตอบคำถามเรื่องปรากฏการณ์ #metoo ว่าการปกป้องผู้หญิงจากความรุนแรงทางเพศเป็นสิทธิที่สำคัญ มนุษย์เราจำเป็นต้องได้รับการปกป้องและได้รับเสรีภาพในชีวิต
ในยุคของเห่อแฮน เนีย เวทีประกวดสาวงาม กลายเป็นความฝันของวัยรุ่นเวียดนาม เป็นหนทางในการพัฒนาตนเอง เป็นโอกาสของชื่อเสียงและถือเป็นความสำเร็จแบบหนึ่งในชีวิต
ภาพ: H’Hen Niê ในชุด Banh Mi
เครดิตภาพ: https://vtv.vn/chuyen-dong-24h/


