ผิดไปจากโบรชัวร์

โดย...แสงตะเกียง

ทุกวันนี้การเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือบ้านจัดสรร ไว้สำหรับพักอาศัยหรือลงทุนได้รับความนิยมอย่างมาก โดยผู้บริโภคจะเลือกพิจารณาโครงการใดก็ตาม มักตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลหลักสำคัญ อาทิ ทำเล ราคา รวมถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ประกอบการเจ้าของโครงการก่อสร้าง

ยิ่งเมื่อได้ดูแผ่นพับหรือที่เรียกว่า “โบรชัวร์” ภาพประกอบโฆษณาส่งเสริมการขาย ที่มีลักษณะสวยงาม แบ่งเป็นสัดส่วนพื้นที่อย่างชัดเจน จึงทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก

แต่สิ่งที่สังคมควรรู้อย่างยิ่งคือ โบรชัวร์นับได้ว่าหนังสือสัญญาฉบับหนึ่ง ใช้อ้างอิงในทางกฎหมายได้เช่นกัน ทว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ หมู่บ้านจัดสรรและคอนโดกลายเป็นเรื่องของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่เป็นไปตามที่ปรากฏในโบรชัวร์ เป็นที่มาของการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ประกอบการไม่ทำตามที่สัญญาไว้ หรือบอกไม่หมด

เรื่องลักษณะนี้ถูกร้องเรียนเข้ามาที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดมีการลงพื้นที่ตรวจสอบคอนโด “ศุภาลัย คาซา ริวา” เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร พบข้อมูลจากลูกบ้านจำนวนกว่า 500 ยูนิต ที่เข้ามาอาศัยตั้งแต่ปี 2551 ว่าพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดถูกนำไปขายให้บุคคลภายนอกในปี 2559 ซึ่งตามแบบแปลนอาคารต้องมีพื้นที่สันทนาการทั้งหมด 5 ห้อง แต่ปัจจุบัน สคบ.ตรวจพบว่ามีเพียงแค่ 2 ห้องที่ลูกบ้านใช้งานได้ ส่วนที่เหลือถูกปิดกั้นเป็นพื้นที่ของเอกชนภายนอก

ไม่เพียงเท่านั้น สคบ.ยังพบว่า ตามผังโครงการในภาพประกอบโบรชัวร์ ระบุถึงพื้นที่สีเขียว ทำให้ผู้อยู่อาศัยเข้าใจว่าเป็นพื้นที่สวนหย่อมสาธารณะของโครงการ สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ แต่ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวถูกเจ้าของโครงการนำไปออกโฉนดเพื่อจำหน่าย แล้วสร้างเป็นอาคารขนาด 7 ยูนิต ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับโครงการคอนโดศุภาลัย คาซา ริวา ใช้ถนนทางเข้าออก ใช้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพนักงานทำความสะอาดของคอนโดชุดเดียวกัน โดยไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางแม้แต่บาทเดียว เป็นเช่นนี้จึงทำให้ลูกบ้านคอนโดไม่พอใจ เตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้านนักกฎหมายให้ความเห็นถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า การโฆษณาขายอสังหาตามที่ระบุในแผ่นพับโบรชัวร์นั้น ผู้ประกอบการต้องแจ้งให้ผู้บริโภครับทราบอย่างชัดเจนปราศจากข้อสงสัยใดๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากโบรชัวร์ถือเป็นส่วนชี้นำการตัดสินใจ หากไม่เป็นไปตามที่ระบุในโบรชัวร์เท่ากับหมิ่นเหม่ต่อการเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนด้วยการโฆษณา

ดังนั้นผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาในอนาคตนับจากนี้ควรศึกษาข้อตกลงในหนังสือสัญญา พร้อมกับเดินดูให้ทั่วพื้นที่ และตั้งคำถามต่อพนักงานขายให้ได้คำตอบที่ชัดเจน ถามให้แน่ใจว่าพื้นที่ส่วนกลางคือบริเวณใดบ้าง รวมถึงค้นหาผลงานและข้อร้องเรียนที่เกิดกับผู้ประกอบการ ว่ามีเรื่องราวอะไรมาก่อนมากน้อยเพียงใด หากสุดท้ายแล้วไม่สบายใจจะตัดสินใจถอยห่างก็ยังไม่สาย

อย่างไรก็ตาม คาดว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคอนโดแห่งนี้ประมาณ 300 ล้านบาท โดยทาง สคบ. สั่งให้ผู้ประกอบการเจ้าของโครงการเข้ามาชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงภายในวันที่ 10 ต.ค.นี้ หากเป็นการนำพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดไปจำหน่ายจริง เรื่องนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับนิติบุคคลของแต่ละหมู่บ้าน คอนโด อีกหลายแห่งสามารถร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องรักษาสิทธิประโยชน์ในอาณาบริเวณของตนเองให้เหนียวแน่น ยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษาพื้นที่สาธารณะส่วนกลางไว้ ไม่เช่นนั้นอาจพลาดพลั้งในภายหลังได้