มองเหตุกระทืบ
การรุม “กระทืบ” ลูกนายพลทหารบกระดับคุมกำลังของภาคเหนือ เหตุเกิดที่ผับดังกลางเมืองเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ก่อน
โดย...ดาบบุญ
การรุม “กระทืบ” ลูกนายพลทหารบกระดับคุมกำลังของภาคเหนือ เหตุเกิดที่ผับดังกลางเมืองเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ก่อน มันมีแง่มุมให้มองเห็นอยู่หลายด้านด้วยกัน
ไม่ต้องบอกก็ทราบกันดีว่า ผลพวงของการรุมทำร้ายครั้งนั้น ทำเด็กหนุ่มลูกนายพลถึงกับบาดเจ็บสาหัส
สิ่งที่มองเห็นได้ในประการแรก ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่สั่งกระทืบ คนลงมือลงเท้ากระทืบ ต่างไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะการจะทำร้ายใครได้ต่อหน้าธารกำนัล ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ย่อมไม่หวั่นเกรงใดๆ ว่ากฎหมายจะเอาผิดได้
หรือเพราะผู้บังคับใช้กฎหมายก็เอนเอียงไปอยู่ข้างของคนสั่งการด้วย
ประการที่ 2 การกระทำดังกล่าวถ้าให้ว่ากันตามจริง นี่คือพฤติกรรมที่คุกคามความปลอดภัยของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งใช้กำลัง ข่มขู่บังคับ ปุถุชนทั่วไปก็คงเรียกกลุ่มคนพวกนี้ได้อย่างถูกปากว่า “มาเฟีย” หรือ “ผู้มีอิทธิพล”
...ดาบบุญ...เชื่อว่าหากกลุ่มคนที่ก่อเหตุได้หาญกล้ากระทำถึงปานนี้ ก็ย่อมตั้งตนเป็นมาเฟีย กร่างในแผ่นดิน กร่างในสังคม แม้จะไม่มีชื่ออยู่ในสารบบของกลุ่มผู้มีอิทธิพลตามบัญชีรายชื่อที่อยู่ในห้องเก็บเอกสารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตาม
ดังนั้น การที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาพูดเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ในลักษณะที่ว่า กลุ่มคนที่ก่อเหตุไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล เพียงแต่ จ.เชียงใหม่ เป็นเมือง
ท่องเที่ยว โอกาสเกิดการทะเลาะวิวาทจึงอาจมีมากกว่าที่อื่น
นั่นแหล่ะครับ จริงเท็จอย่างไร มาเฟียหรือไม่ เชื่อว่าสังคมเห็นแล้ว และ จ.เชียงใหม่ มันสุ่มเสี่ยงเกิดเหตุบ่อยครั้ง ก็เป็นหน้าที่ตำรวจอย่างท่านๆ ทั้งหลายที่ต้องคอยวางแผนดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน
ในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวใช่หรือไม่
คงไม่ใช่เพียงแต่มาบอกว่า “โอกาสเกิดเหตุมันมาก” เพราะถ้าโอกาสมันเยอะ ตำรวจก็ต้องยิ่งเข้มให้มากขึ้น จริงหรือไม่ครับ
ประการต่อมา ซึ่งนับเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ...ดาบบุญ...มองเห็นพลังของสังคมออนไลน์อย่างรุนแรง และหนักหน่วงทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นความลับใดในอดีตของผู้ที่ถูกพาดพิงว่าสั่งการก่อเหตุให้รุมทำร้ายลูกนายพล ถูกขุดถูกคุ้ยขึ้นมาให้สังคมเห็นอย่างแพร่หลาย ทั้งเรื่องก่อนที่จะมาโด่งดังเพราะเป็นแฟนดาราสาว เคยทำธุรกิจที่ไหนมาบ้าง และอย่างไรบ้าง มีชื่อร่ำรวยมาจากสิ่งใด ธุรกิจสีขาว สีดำ หรือสีเทา
เป็นข้อมูลดิบที่ทำให้คนนับล้านของเมืองไทยได้เห็น และได้วิเคราะห์คาดเดากันอย่างสนุกสนาน
แน่นอนว่า “ตำรวจ” ที่ทำคดีต้องหันมามองข้อมูลที่ถูกโพสต์ ถูกแชร์ออกไปบนโลกออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นเรื่องที่ต้องรับทราบในการทำคดี ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้น ก็ต้องวกไปอยู่ที่การเชื่อมโยงและพยานหลักฐานตามที่ได้ร่ำเรียนมาแน่นอน
แต่ที่น่าสนใจคือ ทุกวันนี้เราอยู่กันในยุคที่อาจเรียกได้ว่า “โซเชียลมันคือนายของเรา” อย่างแท้จริง เพราะความลับใดก็ตามที่เคยซุกซ่อนเอาไว้บนโลกออนไลน์ พร้อมจะเผยแพร่ออกสู่สาธารณะได้ทุกเมื่่อ
ชนิดที่ว่าเราๆ ไม่สามารถจะควบคุมได้เลย และขณะนี้มันกำลังจะเป็นผลอันสำคัญให้การสาวคดีของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการกระทืบลูกนายพลด้วย


