3 หุ้นเป็นเศรษฐี
เมื่อเร็วๆ นี้ มีบทความที่เขียนโดย ไมล์ส ดี. ไวท์ (Miles D. White) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส
โดย... ณ กาฬ เลาหะวิไลย
เมื่อเร็วๆ นี้ มีบทความที่เขียนโดย ไมล์ส ดี. ไวท์ (Miles D. White) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส (Abbott Laboratories) ยักษ์ใหญ่ด้านยา อาหารทางการแพทย์ อาหารสำหรับทารกและเด็ก และเครื่องมือแพทย์ ที่น่าสนใจ
ไมล์สเขียนถึงการลงทุนในหุ้นเพียง 3 หุ้น แต่กลับทำให้คนเป็นเศรษฐี
ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาคือ เกรซ โกรเนอร์ เริ่มทำงานด้วยตำแหน่งเลขานุการ ที่แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส เมื่อ 80 ปีก่อน หลังจากทำงานมา 4 ปี เธอได้ซื้อหุ้นของบริษัท 3 หุ้น ในมูลค่าต่ำกว่า 200 เหรียญ จนกระทั่งเสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อน
แต่เชื่อหรือไม่ว่า หุ้น 3 หุ้น ทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีได้
เพราะตลอดระยะเวลา เกรซได้รับเงินปันผล รวมถึงความมั่งคั่งจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาล โดยเมื่อรวมกันแล้วมีมูลค่าถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 245 ล้านบาท
เกรซไม่ใช่คนเดียวที่โชคดีเช่นนี้ มีนักลงทุนหลายคนที่ซื้อหุ้นบริษัทมั่นคง มีเงินปันผลสูงๆ ด้วยมูลค่า 1,000 เหรียญ เมื่อ 75 ก่อน ปัจจุบันมูลค่าเพิ่มเป็น 3 ล้านเหรียญ หรือกว่า 100 ล้านบาท
บริษัทหลายแห่งให้เงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นมากบ้างน้อยบ้าง บางบริษัทให้เป็นรายไตรมาส และถ้าเอาเงินปันผลไปซื้อหุ้นเพิ่ม ก็จะได้รับผลบวกเป็นทบทวีคูณ
หุ้นปันผลยังช่วยการเกษียณอายุ โดยเงินที่ได้จากหุ้นปันผลมากกว่าเงินจากสวัสดิการสังคมอีก โดยมีการยกตัวอย่างการลงทุนซื้อหุ้นไฟเซอร์ (Pfizer) เมื่อ 56 ปีก่อน 10 หุ้น ในราคา 350 เหรียญสหรัฐ และทุกครั้งที่ได้เงินปันผล ก็จะเอาไปซื้อหุ้นเพิ่มจนมีหุ้นรวม 9,100 หุ้น
เมื่อเกษียณอายุ นักลงทุนผู้นี้ได้เงินปันผล 10,500 เหรียญทุกปี หรือราวๆ 367,000 บาท มากกว่าครึ่งหนึ่งของสวัสดิการสังคมที่ได้รับ
นักลงทุนหลายคนกลัวความผันผวนของตลาดหุ้นที่มีขึ้นมีตก แต่หุ้นปันผลจะเป็นการลงทุนที่เสียหายน้อยกว่าโดยในภาวะตลาดกระทิง หรือตลาดคึกคัก หุ้นปันผลจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ในช่วงตลาดหมี หรือซบเซา อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลลดลงไม่มากนัก
นี่แหละ คือตัวอย่างที่เกิดในต่างประเทศ
สำหรับเมืองไทยเองก็มีตัวอย่างเช่นนี้ โดยตลาดหุ้นบ้านเราเปิดดำเนินการเมื่อปี 2518 ขณะนั้นมีหุ้นเข้าซื้อขาย 8 บริษัท ที่ยังคงซื้อขายหุ้นอยู่ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย
ตัวอย่างที่เป็นกรณีคลาสสิก ก็คือการที่มีนักลงทุนซื้อหุ้นปูนซิเมนต์ไทย 100 หุ้น ในราคา 167 บาท หรือเป็นเงิน 16,700 บาท
ขณะนั้นหุ้นปูนซิเมนต์ไทยราคาพาร์คือ 100 บาท ต่อมามีการแตกพาร์เรื่อยๆ จนล่าสุดเหลือ 1 บาท ทำให้เท่ากับว่าหุ้นเดิมที่มี 100 หุ้น ก็แตกเป็น 10,000 หุ้นทันที
เมื่อวานนี้ ราคาหุ้นปูนซิเมนต์ไทยปิดที่ 506 บาท หรือคิดแล้ว 10,000 หุ้น จะมีมูลค่า 5,060,000 บาท
นอกจากนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปูนซิเมนต์ไทยปันผลมาตลอด โดย 10,000 หุ้นที่มี ได้รับเงินปันผลรวมแล้วราวๆ 1,000,000 บาท
การลงทุนด้วยเงิน 16,700 บาท เมื่อ 41 ปีก่อน จึงเพิ่มเป็นกว่า 6,000,000 บาท
ช้าแต่ชัวร์แบบนี้ น่าสนใจจริงๆ


