posttoday

ประโยชน์ของ ‘โซตัส’

16 กันยายน 2559

ย้อนกลับไปในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา น่าจะมีเยาวชนของชาติที่เข้าสู่ระดับอุดมศึกษา บาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส-ทุพพลภาพ

โดย...คุณบ๊งเบ๊ง [email protected]

ย้อนกลับไปในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา น่าจะมีเยาวชนของชาติที่เข้าสู่ระดับอุดมศึกษา บาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส-ทุพพลภาพ ไปจนถึงเสียชีวิต จากกิจกรรม “รับน้องใหม่” ไปจำนวนไม่น้อย เพื่อรักษาประเพณี “โซตัส” ที่สืบทอดกันมานานแสนนาน

สาเหตุมีตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่างเป็นลม ช็อก ไปจนถึงจมน้ำ โดนระเบิด หรือได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรง ทั้งที่เด็กเหล่านี้คือ “อนาคตของชาติ” ที่พ่อแม่อุตส่าห์ส่งเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย แต่กลับต้องมาเผชิญชะตากรรมอันน่าเศร้าแบบนี้

คำถามก็คือ ทำไมการรับน้องที่ผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิมนุษยชนและป่าเถื่อน ยังคงดำรงอยู่ได้ ทั้งที่กิจกรรมเหล่านี้ควรจะหมดไปนานแล้ว

และในเวลาเดียวกัน ทั้งมหาวิทยาลัย ทั้งคณะต่างๆ ที่ปรากฏในข่าว กลับเลือกที่จะรักษาชื่อเสียงของสถาบันตัวเอง ในเวลาที่ข่าว “รับน้องโหด” ปรากฏออกสื่อมากกว่าจะสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อหาผู้กระทำความผิด

จริงอยู่ ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า มหาวิทยาลัยชอบให้มีระบบ “รับน้อง” หรือไม่ แต่การเลือกจะรักษาหน้า มากกว่ารักษา “ความถูกต้อง” ก็อาจตีความได้ว่า มหาวิทยาลัยอาจชอบให้ “รุ่นพี่” ปกครอง “รุ่นน้อง” ด้วยกฎระเบียบเข้มงวด เพื่อปลูกฝังวินัยลงไปในหัวเด็กใหม่ ให้ลด “ความวุ่นวาย” ลง

ในเวลาเดียวกัน การยอมรับ “ความอาวุโส” ก็เป็นพื้นฐานของคนไทย มอตโต้ประเภทที่ว่า “มาก่อนเป็นพี่ มาหลังเป็นน้อง มาพร้อมกันเป็นเพื่อน” จึงได้รับความนิยม แม้ว่าพี่จะแก่พรรษากันแค่ปีเดียว หรือไม่ถึงปีก็ตาม

ด้วยรู้ว่า การให้นักศึกษาเป็น “เด็กในปกครอง” โดยมีผู้ปกครองอย่างรุ่นพี่กำกับอีกชั้น จะทำให้น้องใหม่อยู่ในกรอบได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะลดภาระของมหาวิทยาลัยในการรับมือกับเด็กร้อยพ่อพันแม่ ให้มีระบบคิดที่คล้ายคลึงกัน

การแสดงละครด้วยการ “ว้าก” และการสั่งทำโทษแบบเว่อร์วัง ไปจนถึงการทำโปรดักชั่นยิ่งใหญ่อย่างการทำลายแมสคอต เผาป้ายชื่อ หรือบางที่ใช้ระเบิดมาสร้างความตื่นกลัว จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ในมุมมองของผู้บริหาร อาจารย์ ศิษย์เก่า

เพราะในที่สุดน้องใหม่ก็ยังเชื่อใน “ระบบอาวุโส” ซ้ำยังเชื่อในมุขที่ว่า หากไม่เข้ารับน้อง จะไม่มีใครคบ จะไม่รู้จักใคร เมื่อจบออกไปก็จะไม่มี “คอนเนกชั่น” อันเป็นสิ่งที่รุ่นน้องฝังใจมาก

ด้วยเหตุนี้ พื้นที่ของการรับน้องจึงไม่เหลือให้กับการแสดงความรู้จักกันแบบสร้างสรรค์ หรือการใช้พลังของคนหมู่มาก ในการทำประโยชน์ให้กับสังคม ชุมชน หรือคนรอบข้าง แต่เป็นเพียงการแสดงอำนาจของ “รุ่นพี่” บางกลุ่ม ที่รอใช้โอกาสแสดงอำนาจ หลังจากถูกกดมาตลอดหนึ่งปีเท่านั้น

ขณะเดียวกัน โอกาสในการแข่งขันไปสู่ระดับอาเซียน หรือในระดับเอเชีย ก็ยากขึ้นเหมือนกัน เพราะ “นักศึกษา” ได้ใช้พลังงานไปกับการทำพิธีกรรมรับน้องไปจนเกือบหมด จนแทบไม่เหลือเวลาให้กับการเพิ่มเติมองค์ความรู้ หรือสร้างสรรค์วิชาการอีกแล้ว

ข่าวล่าสุด

KBANK ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เงินฝาก 0.05-0.10%