เกณฑ์ทหารไปทำอะไร
น่าสนใจตัวเลขทหารเกณฑ์ปีล่าสุด เพราะความต้องการพลทหารไปประจำการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมากกว่า 2,000 คน ไปอยู่ที่ 1 แสนคนเศษ
โดย...คุณบ๊งเบ๊ง [email protected]
น่าสนใจตัวเลขทหารเกณฑ์ปีล่าสุด เพราะความต้องการพลทหารไปประจำการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมากกว่า 2,000 คน ไปอยู่ที่ 1 แสนคนเศษ
โดยที่เจ้าของสังกัดไม่เคยแจงว่าที่ต้องการมากขึ้น ต้องการไปเพื่ออะไร และถูกใช้จริงๆ ไปกับภารกิจใดบ้าง
แน่นอนตามรัฐธรรมนูญถือเป็นหน้าที่ชายไทยที่ต้องรับการตรวจเลือกทหาร หากใครไม่เข้าระบบจะถูกตัดสิทธิความเป็นพลเมืองหลายประการและผิดกฎหมายร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงก็คือหลายคนที่เข้าไปอยู่ในสถานะพลทหารนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการ “รับใช้ชาติ” แต่คือการเข้าไปรับใช้นายทหารยศสูงกว่าและรับใช้อุดมการณ์ของกองทัพเท่านั้น โดยเฉพาะระยะหลังอุดมการณ์ของกองทัพเริ่มสร้างค่านิยมทางอำนาจบางอย่าง ด้วยการวาดภาพ “ศัตรูของชาติ” ขึ้นมา ทั้งที่หลายคนไม่ได้คล้อยตามด้วย
ด้วยเหตุนี้ ระบบเกณฑ์ทหารยิ่งอันตราย เพราะจะมีกำลังพลที่ต้องเข้ารับการเกณฑ์จำนวนหนึ่งรู้สึกไม่ชอบ รู้สึกไม่อยากถูก “ล้างสมอง”
ยิ่งไปกว่านั้น การอยู่ในค่ายก็ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอะไร มากไปกว่าการรับคำสั่ง การฝึกระเบียบทหาร หรือการทำหน้าที่ “ทหารบริการ” ซักผ้า ล้างจาน ขับรถ ให้กับ “นาย” ไม่ว่าจบชั้น ม.ปลาย ปวช. หรือปริญญาโท ก็ถูกใช้งานแบบเดียวกัน และด้วยระบบนี้ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งเป็นภัยด้วยซ้ำ เพราะถือว่า “รู้มาก” เกินไป
เพราะระบบต้องการเพียง “กำลังพล” ทำหน้าที่ “ระดับล่าง” เท่านั้น ไม่ได้ต้องการคนที่มีความรู้ เพราะคนพวกนี้ยิ่งเถียงมาก ยิ่งปกครองยาก และย่อมไม่มีความอดทนต่อคำสั่งที่ไม่มีเหตุผล
ที่สำคัญผลของการขัดคำสั่งยังสะท้อนความโหดร้าย ละเมิดความเป็นมนุษย์ โดยที่คนสั่งทำโทษ แทบไม่ต้องรับผิดใดๆ เพราะวินัยทหาร หากขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา ต้องร้องเรียนตามลำดับขั้น และคนระดับ “ผู้พัน” ย่อมไม่อยากให้เรื่องออกสื่อ
เรื่องน่าเศร้าก็คือ หากไม่โดนลงโทษถึงตาย คนที่บาดเจ็บก็แทบไม่ได้รับความยุติธรรม และคนที่สั่งแบบไม่มีเหตุผลนั้น ก็ไม่เคยได้รับโทษอะไร ฉะนั้น การเลือกอยู่กับ “ความเงียบ” จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
สถานะของการจัดทหารเกณฑ์ที่หลงเหลือเป็นเพียงมรดกตกค้างจากสงครามคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการแรงงานจำนวนมากขุดหลุมสนามเพลาะ สร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์ หรือเดินลาดตระเวน ประเภทที่สั่งอะไรก็ทำตาม
แต่วันนี้สนามรบเปลี่ยนสู่สงครามก่อการร้ายชายแดนใต้ใช้เวลา 10 กว่าปี อัดทหารเกณฑ์เข้าไปหลายรุ่น ก็ไม่มีหลักประกันว่ามีอะไรดีขึ้น ซ้ำยังเสี่ยงกับการสูญเสียบุคลากรอีก
และถามว่าถ้าเกิด “ภัยพิบัติ” ขึ้นจะเอาใครไปดูแล คำตอบก็คือใช้กำลังพลเท่าที่มีก็เพียงพอ เพราะทหารมีกำลังพลมากกว่า 3.2 แสนคน หากตัดทหารเกณฑ์ออกก็ยังมีมากกว่า 2 แสนคน เมื่อรวมกับการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครก็เอาอยู่
แต่ถ้ายังต้องการคนเพิ่ม ก็แค่รับสมัครโดยให้มาตรการจูงใจอื่น เช่น ประกันสุขภาพแบบพิเศษ หรือมาตรการภาษีที่สามารถซื้อบ้าน-รถ ราคาถูก ไม่ต้องไปเรียกสำนึกความรักชาติแบบที่ทำอยู่
เพราะในโลกสมัยใหม่ “ความรักชาติ” ไม่อาจจำกัดด้วยเครื่องแบบ หากแต่ยังต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเสรีภาพที่บุคคลควรจะมีในการกำหนดชีวิตตัวเองด้วย


