เมื่อ QE ปะทะ QT - การต่อสู้ในสงครามค่าเงิน เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
เหล่าประเทศผู้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ติด 5 อันดับแรกของโลก (เรียงตาม World GDP Ranking ปี 2014) พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
โดย เจษฎา สุขทิศ & ชยนนท์ รักกาญจนันท์ INFINITI Global Investors, The Ultimate Investment Solution
เหล่าประเทศผู้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ติด 5 อันดับแรกของโลก (เรียงตาม World GDP Ranking ปี 2014) พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และกดอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ วันนี้ผู้เสียประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว จะต่อสู้ด้วยนโยบายสวนทาง เราไปนั่งใน The War Room ฟังกูรูสองท่านถกประเด็นนี้กัน
ชยนนท์ : ช่วงนี้ตลาดผันผวนพอสมควร หลายๆประเทศในตลาดเกิดใหม่ปรับฐานจากจุดสูงสุดไปเกินกว่า 20% แล้ว นักวิเคราะห์เกือบทั้งโลกบอกว่า เรากำลังเจอจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ต้องนั่งลุ้นมากกว่าตอนที่กรีซทำประชามติเสียอีก คุณเจ็ทมองว่ายังไง
เจษฎา : จุดเริ่มต้นของความผันผวนของตลาดโลกในรอบนี้เกิดขึ้นวันที่ 11 สิงหาคม 2558 เมื่อธนาคารกลางจีน (PBoC) ตัดสินใจปรับลดค่ากลาง Fixing เงินหยวนให้อ่อนค่าลง โดยเหตุผลน่าจะมาจากเศรษฐกิจจีนที่เริ่มชะลอตัวลง รวมไปถึงความต้องการให้หยวนเข้าไปอยู่ในตะกร้าเงิน SDR ของ IMF ส่วนตัวผมเชื่อว่าเหตุผลแรกเป็นหลัก ส่วนเหตุผลหลังดูจะเป็นข้ออ้างมากกว่า สิ่งที่ตลาดอ่านจากการกระทำครั้งนี้ของจีนคือ เศรษฐกิจจีนกำลังมีปัญหา และจีนต้องอ่อนค่าเงินเพื่อให้ได้ดุลจากโลก เท่ากับว่าจีนเข้ามาร่วมลงสนาม “สงครามค่าเงิน” อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ชยนนท์ : เหมือนตอนนี้เค้ก (การเติบโตของเศรษฐกิจโลก) ที่มีขนาดเท่าเดิม แต่ทุกคนอยากกินเพิ่มมากขึ้นนะ (อยากให้ GDP ตัวเองโตขึ้น)
เจษฎา : ใช่ครับ และที่เห็นในอนาคต มีความเสี่ยงเหลือเกินครับ ที่เค้กจะขนาดลดลง
ชยนนท์ : นั้นเป็นเพราะเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงชะลอตัว น่าจะทำให้คู่ค้าทั้งหลายในโลกเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวตามไปด้วย ปัญหาคือ ค่าเงินของเหล่าประเทศตลาดเกิดใหม่ และในเอเชีย ก็เลยอ่อนค่าตามค่าเงินหยวนทันที ซึ่งมันน่าจะเป็นเรื่องดีนะ ไปกระตุ้นการส่งออกอีกทาง
เจษฎา : มันไม่ดีนะสิครับ อย่าลืมว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ญี่ปุ่น (BOJ) ณ ตอนนี้ปั๊ม QE จำนวนเงินมหาศาลกันอย่างไม่หยุดหย่อน จะไปแข่งกันทำให้ค่าเงินตลาดเกิดใหม่อ่อนค่า ก็อ่อนค่าต่อดอลล่าร์สหรัฐฯเพียงแห่งเดียวนะ
ชยนนท์ : อืม.. เหมือนสงครามราคาเลย ตลาดเกิดใหม่ ไปแข่งกันให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า กับยุโรปและญี่ปุ่น ที่มีจำนวนกระสุน (ขนาดของ QE) อีกนับไม่ถ้วน อ่อนค่ามากไป ก็ไม่ทำให้เศรษฐกิจดี เผลอๆ จะพังด้วยซ้ำถ้าค่าเงินอ่อนลงอย่างรุนแรงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักในตลาดเกิดใหม่ เพราะหมายถึง ขายสินค้าก็ได้จำนวนน้อยลง แถมราคาก็ลดลงอีกต่างหาก
เจษฎา : กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ เลยต้องสู้กับ QE ด้วยวิธีใหม่ไงครับ คิดแบบเดิมมันเสียเปรียบ วิธีการก็เลยทำ Qualitative Tightening (QT) ไหนคุณช่วยอธิบายต่อหน่อย
ชยนนท์ : เพราะเผชิญกับแรงขายสินทรัพย์ออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ทำให้ค่าเงินมีความเสี่ยงอ่อนค่าอย่างรวดเร็วเกินไป และรู้ดีว่า ให้ค่าเงินตัวเองอ่อนมากเท่าไหร่ ก็ไปสู้กับยุโรป และญี่ปุ่นซึ่งยังมี QE ทุกๆเดือนไม่ได้ ดังนั้น ต้องแก้เกมส์ด้วยการทำให้ตลาดค่าเงินของตัวเองมีเสถียรภาพ ซึ่งเหล่าประเทศตลาดเกิดใหม่ มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเยอะอยู่แล้ว ดังนั้น พอมีเงินออกจากประเทศเท่าไหร่ ก็ขายสินทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศ (โดยเฉพาะดอลล่าร์สหรัฐฯ) มากเท่านั้น การขายสินทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศแลกกลับมาเป็นสกุลเงินตัวเองแบบนี้ละครับ โลกการเงินบัญญัติศัพท์ให้ใหม่ โดยใช้คำว่า QT นั้นเอง
เจษฎา : ตอนนี้ในโลกเรา คนที่ทำ QT เยอะที่สุดก็คือ “จีน” นะครับ ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา จีนขายพันธบัตรสหรัฐฯ มากถึง 1 แสนล้านเหรียญทีเดียว เหตุผลก็เพื่อไม่ให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าเร็วเกินไป
ชยนนท์ : ถ้ากระแสการทำ QT ยังมีต่อไปอีกเรื่อยๆ คุณว่าโลกเราจะเป็นยังไง?
เจษฎา : เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio) ผู้ก่อตั้งเฮดฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ชื่อ บริดจ์วอเตอร์ (Bridgewater) เขียนรายงานให้นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของเขา และถูกนำมาเผยแพร่ใน Bloomberg เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ทำนายไว้ว่า โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จำนวนต้องกลับมาใช้มาตรการ QE นั้นมีค่อนข้างสูง จนถึงตอนนี้ ผมว่ามีโอกาสนะ
ชยนนท์ : น่ากลัวนะ ถ้าทุกคนในโลกแห่ขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯจริงๆ แล้วไม่มีคนมากล้าซื้อต่อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเฟดไม่อยากให้เกิดภาพนั้น ก็คงจำเป็นต้องออกมาตรการ QE มารับซื้อพันธบัตรตัวเองอีกรอบ .... ตลาดทุนของโลกช่วงนี้ เป็นช่วงที่ผันผวนจริงๆ
เจษฎา : ครับ ทิศทางยังดูไม่ออกว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนจะไปในทางไหน QT ยังจะมีต่อไปหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน ผมแนะนำให้ลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงมาบ้าง แล้วรอดูติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปครับ


