"คสช." สิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำ
"1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่มีธงเพื่อทำหน้าที่ในการ “ปฏิรูป” สนใจแต่จะปฏิรูปโดยใช้ความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ ละทิ้งเสียงอื่นของประชาชน"
โดย...คุณบ๊งเบ๊ง [email protected]
ใกล้เข้าสู่เดือน ก.ย. ซึ่งจะเป็นการชี้ขาดรัฐธรรมนูญว่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อนำไปสู่การลงประชามติ ว่าจะสามารถเลือกตั้งได้ตามโรดแมปหรือไม่
น่าสนใจก็เพราะว่า อีกไม่กี่วัน จะมีการชี้ขาดรัฐธรรมนูญ ก็ยังมีความเคลื่อนไหวจาก สปช. ที่จะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ โดยบอกเองโต้งๆ ว่าเพื่อให้รัฐบาลคสช. มีอำนาจอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงตอบรับจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.ตอบกลับทันทีว่า หากสปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อ
“ทำให้เห็นปฏิบัติการของกลุ่มกระสันอำนาจที่อ้างตนว่าอยู่เพื่อการปฏิรูป ออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง”
ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดช่องให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการกปปส. ซึ่งเพิ่งลาสิกขาจากสวนโมกข์ ออกมาเคลื่อนไหว จัดแถลงข่าว แสดงพลังสนับสนุนรัฐบาล ทั้งที่มีคำสั่งคสช. ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ชัดเจนว่า ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง และการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะน้อย-ใหญ่ก่อนหน้านี้ ล้วนผิดกฎหมาย กระทั่งมีการจับกุมนักศึกษา-ประชาชน ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาก่อนหน้านี้แล้ว
แม้แต่การแสดงความเห็นแย้งกับการก่อสร้าง “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ยังถึงขั้นมีรถหุ้มเกราะ และกำลังทหารจำนวนมาก เพื่อควบคุมการแสดงความคิดเห็นค้านโรงไฟฟ้า ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการแสดงออกทางการเมือง
ยิ่งชัดเจนว่า คสช. เลือกที่จะฟังเสียงชื่นชมเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจเสียงที่วิพากษ์วิจารณ์ในทางอื่น และชัดเจนว่า ไม่ได้สนใจเสียงของคนเล็กคนน้อยที่ต้องการมีส่วนร่วมกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่มีธงเพื่อทำหน้าที่ในการ “ปฏิรูป” สนใจแต่จะปฏิรูปโดยใช้ความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ ละทิ้งเสียงอื่นของประชาชน และแม้จะบอกว่าตัวเองเป็น “ประชาธิปไตย” แต่วิธีที่ใช้ในการจัดการปัญหา รวมถึงจัดการการปฏิรูปนั้น สะท้อนชัดว่าเป็นวิธีการของ “เผด็จการ”
มิพักจะต้องพูดถึงการ “ปรองดอง” ที่รัฐบาลเลือกปรองดองโดยการกดความเห็นของคนที่ไม่เห็นด้วย ให้อยู่ในซอกหลืบ โดยใช้กำลังทหารคุมเข้มการแสดงความคิดเห็น แล้วหลอกตัวเองว่าขณะนี้ “เรามีความสุขแล้ว”
ยังไม่มีใครมองออกว่าหลังจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์คืนอำนาจ จะเกิดความปรองดองได้อย่างไร เพราะความยุติธรรมยังไม่เกิด ในเมื่อฝ่ายหนึ่งสามารถแสดงความคิดเห็น และมีอำนาจทำอะไรก็ได้ แต่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลย โดยอำนาจรัฐอ้างว่าเป็น “สิ่งผิดกฎหมาย”
มรดกจากรัฐบาลคสช.ชิ้นสำคัญอีกอย่าง คือ “รัฐธรรมนูญ” ที่ให้อำนาจพวกพ้อง “คนดี” มากกว่าที่จะเพิ่มอำนาจให้ประชาชน โดยเฉพาะการเปิดช่องให้นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งก็ได้ รวมถึงให้อำนาจสว.ล้นฟ้า ทั้งที่เกินครึ่ง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
มรดกบาปสมัยรัฐบาลคสช. ล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาลคสช.ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง การพูดแต่ด้านดี และความพยายามทำงานของพวกตัวเอง โดยที่ไม่เคยสนใจประชาชน สะท้อนชัดว่าต้องการเพียงแค่ครองอำนาจ และรักษาผลประโยชน์ของพวกตัวเองเพียงอย่างเดียว ทำให้การทำงานของคสช.ไม่ลื่นไหล
สิ่งที่คุยนักคุยหนาว่าจะใส่ในรัฐธรรมนูญอย่างเรื่องการปฏิรูป11 ด้าน ก็ยังสร้างความขัดแย้งสูง จนต้องถูกถอดออกจากรัฐธรรมนูญ เพื่อไปออกเป็นกฎหมายลูก ซึ่งหลังจากนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ว่าจะผลักดันเป็นกฎหมายสำเร็จหรือไม่
แม้จะพร่ำบอกว่า ประชาธิปไตยเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชัน แต่ปรากฎว่าหลังการยึดอำนาจปัญหาการคอร์รัปชันยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสิ้นปี 2557 ที่ผ่านมา วิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ออกมาเปิดเผยว่า เท่าที่ทำการสำรวจจากผู้ประกอบการที่มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบว่ายังมีการทุจริตอยู่ที่ 30–50% คิดเป็นตัวเงินปีละ 2–3 แสนล้านบาท แม้จะมีการรัฐประหารแล้วก็ตาม
ที่น่ากลัวก็คือการคอร์รัปชัน ในยุคคสช. ไม่มีฝ่ายค้านในการทำหน้าที่ตรวจสอบ มีเพียง สนช. ที่เข้าไปนั่งยกมือ และปรบมือเชียร์รัฐบาลเท่านั้น เพราะรัฐบาลคสช.เป็นผู้แต่งตั้งพวกเขาเข้าไป ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญชั่วคราวก็ให้อำนาจ “นิรโทษกรรม” รับรองไว้ด้วยว่าสิ่งที่รัฐบาลคสช.ทำทุกอย่างเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
จึงอันตรายอย่างยิ่งหากปล่อยให้รัฐบาลชุดนี้อนุมัติโครงการขนาดใหญ่อย่างการจัดการระบบบริหารทรัพยากรน้ำ โครงการรถไฟความเร็วสูง หรือแม้กระทั่งการจัดซื้อเรือดำน้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสม่ำเสมอ เมื่อถูกถามถึงปัญหาเหล่านี้คือการโยนภาระกลับไปให้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง และระบอบประชาธิปไตย ว่าเป็นระบอบที่เลวร้าย
ทั้งที่ตัวเอง มีทั้งอำนาจในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ กุมทั้งอำนาจ นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ อยู่ในมือ แต่กลับไม่ใช่อำนาจที่มีในการแก้ปัญหา โดยดึงการมีส่วนร่วมจากประชาชน แต่เลือกที่จะ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น”
ต้องถามกลับว่า ขุนทหารผู้ผูกขาดความดีไว้กับตัวเอง ได้สร้างสรรค์อะไร ที่จะสร้างประโยชน์ให้ประเทศในวันนี้ และในวันข้างหน้าบ้าง
หรือสุดท้ายการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า การเข้ามาครองอำนาจแทน “ชินวัตร” เพื่อตอบแทน “กปปส.” ที่เคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงและยาวนานเท่านั้น


