ลดพาร์ น่ากลัวไหม?
โดย...เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน สำนักงานก.ล.ต.
โดย...เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน สำนักงานก.ล.ต.
ทุกครั้งที่เห็นข่าวว่าหุ้นลดพาร์หรือแตกพาร์มักใจคอไม่ค่อยดี ไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับราคาหุ้นและมูลค่าเงินลงทุนในพอร์ตของเรา วันนี้มาทำความเข้าใจกันค่ะ
ราคาพาร์คือมูลค่าหุ้นที่ตราไว้เป็นค่าเริ่มต้นของบริษัทคำนวณจากทุนจดทะเบียนหารด้วยจำนวนหุ้นที่บริษัทออก เช่น บริษัท ก เริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน1,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น100 ล้านหุ้น ราคาพาร์ของหุ้น ก จึงเท่ากับหุ้นละ10 บาท ราคาพาร์ไม่เกี่ยวข้องกับราคาตลาดของหุ้นนั้นโดยตรง เพราะเมื่อบริษัทดำเนินธุรกิจไปเรื่อยๆ มูลค่าทรัพย์สินของบริษัทจะเปลี่ยนไปซึ่งนิยมใช้ตัวเลขในบัญชีมาเป็นมูลค่าของบริษัท และเมื่อบวกลบการคาดการณ์การดำเนินงาน ผลตอบแทนและความเสี่ยงของบริษัทแล้ว จึงออกมาเป็นราคาหุ้นในตลาดซึ่งในขณะที่มูลค่าทางบัญชีและราคาหุ้นในตลาดเปลี่ยนแปลงไปไหนๆ แล้ว ราคาพาร์ยังอยู่ที่เดิม
ลดราคาพาร์ ในที่นี้จะขอพูดถึง 2 แบบ คือ (1) ลดราคาพาร์โดยไม่เพิ่มจำนวนหุ้น และ(2) ลดราคาพาร์และเพิ่มจำนวนหุ้นหรือ “แตกพาร์”
(1) ลดราคาพาร์โดยไม่เพิ่มจำนวนหุ้น เพื่อลดทุนจดทะเบียนของบริษัท
นิยมทำเพื่อ 2 วัตถุประสงค์หลักๆคือเพื่อคืนเงินทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือเพื่อล้างขาดทุนสะสม “ขาดทุนสะสม” คือ ผลขาดทุนในอดีตของบริษัทที่สะสมอยู่จนถึงปัจจุบันดูได้ที่งบดุลในส่วนของผู้ถือหุ้น บริษัทที่มีขาดทุนสะสมอยู่แม้ว่าในปีนี้มีกำไรแต่ก็ไม่สามารถจ่ายปันผลได้ต้องรอให้มีกำไรมากจนกลบจำนวนขาดทุนสะสมเสียก่อน หรือใช้วิธี “ลดทุนด้วยการลดราคาพาร์” เช่น บริษัท ก ที่มีหุ้น 100 ล้านหุ้น มีขาดทุนสะสม 200 ล้านบาท ทำการลดทุนด้วยการลดพาร์จาก10 บาท เหลือ8 บาท ทำให้ทุนจดทะเบียนเหลือ 800 ล้านบาท (100 ล้านx8)ในขณะเดียวกันทำให้เกิดส่วนเกินทุน 200 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำส่วนเกินทุนนี้ไปล้างขาดทุนสะสมได้
วิธีนี้เป็นวิธีทางบัญชีที่ไม่กระทบมูลค่าของบริษัท ดังนั้นราคาตลาดของหุ้นควรจะไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีผลกับมูลค่าพอร์ตลงทุนของผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ดี ในด้านจิตวิทยา การไม่มีผลขาดทุนสะสมช่วยปลดล็อคให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้ทำให้หุ้นดูน่าสนใจขึ้น แต่ผู้ลงทุนต้องไม่ลืมที่จะดูศักยภาพในการทำกำไรในระยะยาวของบริษัทเป็นสำคัญ เพราะถ้ากำไรยังไม่ดี การล้างขาดทุนสะสมก็คงไม่ช่วย
(2)ลดราคาพาร์เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นโดยทุนจดทะเบียนเท่าเดิม
หรือเรียกว่า “แตกพาร์”มีวัตถุประสงค์หลักคือเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นด้วยการเพิ่มจำนวนหุ้นลงไปในตลาด เช่น บริษัท กมี 100 ล้านหุ้น ราคาตลาดหุ้นละ100 บาทต่อมาบริษัททำการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท(หรือ 1:10) ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 100 ล้านหุ้นเป็น 1,000 ล้านหุ้นราคาตลาดลดลงจาก 100 บาท เป็น10 บาท
ผลที่ได้คือ (1) นายเอที่ถือหุ้น ก อยู่500 หุ้น มูลค่าในพอร์ต 50,000 บาท จะกลายเป็นถือหุ้น 5,000 หุ้น โดยมีมูลค่า 50,000 บาทเท่าเดิม (2)นายบีที่เคยรู้สึกว่าหุ้น ก ราคาสูงต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จะรู้สึกว่าหุ้น ก น่าสนใจขึ้น ใช้เงินไม่มากสามารถลงทุนได้และอาจจะมี (3) นายซี ซึ่งไม่ได้ติดตามข่าวของหุ้น ก มาก่อน อยู่มาวันหนึ่งเห็นราคาหุ้น ก ลดลงแรง จึงส่งคำสั่งซื้อในราคาสูง และได้หุ้น ก มาในราคาที่แพงเกินควร
การลดทุนและการลดราคาพาร์ บริษัทจะทำได้ต่อเมื่อได้รับมติจากผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงและบริษัทต้องแจ้งมติลดทุนให้ผู้ถือหุ้นกู้ทราบ ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิคัดค้านมติลดทุนได้ภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติ เนื่องจากการลดทุนอาจมีผลต่อทรัพย์สินและความสามารถในการชำระหนี้ในระยะต่อไปของบริษัทได้
ขอฝากไว้ว่า “การลดราคาพาร์”ไม่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการหารายได้หรือทำกำไรของบริษัท ไม่ได้ทำให้บริษัทโตขึ้นหรือเล็กลง ตามทฤษฎีแล้วไม่มีผลกับมูลค่าของบริษัทแต่ที่เห็นว่ามีผลต่อราคาหุ้นในตลาดเป็นเพราะผลด้านจิตวิทยามากกว่าดังนั้นเมื่อเห็นราคาหุ้นลดลงมากให้ดูข้อมูลของบริษัทที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ(www.set.or.th)ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจค่ะ
“ก.ล.ต. อยากให้คนไทยลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง”


