เป็นห่วงคุณภาพหนี้ของแบงก์
โดย จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส [email protected]
โดย จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส [email protected]
แม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับลงมาแล้วท่ามกลางข่าวลบต่างๆ นานา ซึ่งล้วนไม่ใช่ข่าวใหม่ที่นักลงทุนไม่เคยได้ยิน แต่การจะกลับขึ้นไปเป็นขาขึ้นและยืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้ต้องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนอย่างมากให้กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ความมั่นใจนั้นน่าจะเกิดจากการเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะเริ่มขับเคลื่อนได้ซึ่งคงไม่พ้นการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม แต่หากพิจารณาสิ่งแวดล้อมที่เห็นในวันนี้ คงต้องพูดว่ายาก
ในทางตรงกันข้าม ดิฉันกลับมองว่าตลาดยังมีความเสี่ยงขาลงและอาจต่ำกว่าโลว์เดิม เพราะเริ่มมีสัญญาณความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกลุ่มธนาคาร ในขณะที่กลุ่มพลังงานซึ่งระยะหลังราคาหุ้นแกว่งไปมาตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งมีโอกาสอ่อนตัวสูงหลังลิเบีย อิรัก และอิหร่านกลับมาผลิตและส่งออกน้ำมันเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อสองกลุ่มหลักมีความเสี่ยง ภาพตลาดโดยรวมจึงดูเปราะบางมาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังสามารถลงทุนได้โดยเลือกหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
เป็นห่วงคุณภาพหนี้ของแบงก์
ประเด็นคุณภาพสินเชื่อในไตรมาส 1/58 มีสัญญาณด้อยคุณภาพลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SME (กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง) และสินเชื่ออุปโภคบริโภค (โดยเฉพาะจากสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) แต่สิ่งที่เราเป็นกังวลในขณะนี้คือสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SM เป็นสินเชื่อที่ค้างชำระตั้งแต่ 1-3 เดือน) ที่เพิ่มขึ้นจาก 2.61% ในช่วงสิ้นปีก่อนเป็น 2.81% ของสินเชื่อรวม เป็นอัตราเพิ่มที่มากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2553 และส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ (เป็นการเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ)
Special Mention Loan ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 12.3% จากไตรมาส 4 ปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มากกว่าการเพิ่มขึ้นของ Classified loan ที่เพิ่มขึ้น 6.5% จากไตรมาส 4/57 (หรือเพิ่มประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) หากเศรษฐกิจยังคงซึมต่อไป จะมีความเสี่ยงที่สินเชื่อดังกล่าวจะตกชั้นเป็น NPL และการเพิ่มขึ้นของ Special Mention Loan ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ เป็นการสะท้อนว่าหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดกับรายย่อยและ SME อาจลามสู่ Corporate ขนาดใหญ่ โดยธนาคารที่มี Special Mention Loan เพิ่มมากที่สุดในไตรมาส 1/58 ได้แก่ BBL BAY และ KTB
จับตาหนี้ปรับโครงสร้าง
หนี้ปรับโครงสร้างเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไปในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบางและการฟื้นตัวที่มีแนวโน้มลากยาวออกไป เป็นเหตุให้การปรับโครงสร้างหนี้ไม่สำเร็จและกลายเป็น NPL ได้อีกครั้ง จากงบการเงินไตรมาส 1/58 ธนาคารที่มียอดคงค้างของหนี้ปรับโครงสร้างสูงสุดคือ KTB ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น 4.44% ของสินเชื่อรวม) รองลงมาคือ KBANK ที่ราว 7.85 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น 5.1% ของสินเชื่อรวม)
ธนาคารส่วนใหญ่มีสำรองมากพอ แต่กังวลว่าจะเสียบรรยากาศการลงทุน
ถึงแม้ว่าหนี้จัดชั้นจะกลายเป็น NPL ในที่สุดแต่ธนาคารขนาดใหญ่มีความแข็งแกร่ง โดยธนาคารที่มีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สูญต่อสินเชื่อที่สูงกว่า 3% ได้แก่ TMB BBL KKP และ KTB มีเพียง TISCO ซึ่งมีอัตราการกันสำรองเพียง 2.6% ของสินเชื่อรวมเนื่องจากพอร์ตส่วนใหญ่ที่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อมีรูปแบบการกันสำรองฯ แบบ Collective Approach หรือการตั้งสำรองลูกหนี้ตามกลุ่มสินเชื่อและอิงกับค่าเฉลี่ยความสูญเสียในอดีตซึ่งลูกหนี้ที่อยู่ในชั้น NPL มีการตั้งสำรองฯ ไม่ถึง 25% ของมูลหนี้
ในแง่ของ Coverage Ratio ธนาคารส่วนใหญ่มีเงินสำรองหนี้สูญต่อ NPL ในระดับเกิน 100% บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของเงินสำรองฯ เราเชื่อว่าธนาคารมีความสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของ NPL ได้โดยไม่กระทบผลการดำเนินงาน เพียงแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ Sentiment หรือบรรยากาศของการลงทุนที่เปราะบางอยู่แล้ว หากมีปัญหานี้เพิ่มขึ้น เกรงว่าราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ร่วงมาระดับหนึ่ง จะยืนไม่ไหว
ลองปรับผลกระทบแล้ว TISCO ดูแกร่งที่สุด
เราศึกษาผลกระทบต่อมูลค่าทางบัญชีโดยใช้ตัวเลข NPL Ratio ในช่วง Sub-prime เป็นกรณี Worst case และปรับมูลค่าทางบัญชีลงตามสมมติฐาน NPL เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดียวกันกับ Sub-prime พบว่าจะส่งผลต่อมูลค่าทางบัญชีของ TMB, BAY และ KTB มากที่สุด และไม่กระทบ TISCO และ KKP เนื่องจากทั้งสองธนาคารมี NPL ที่สูงสุดไปแล้วในปีก่อน


