posttoday

"นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ฝีมือปานกลาง ไม่ดีพออีกต่อไป”

25 เมษายน 2558

โดย ธีระ ภู่ตระกูล CFP® นายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

โดย ธีระ ภู่ตระกูล CFP®  นายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

ตอนที่ผมเป็นเด็กผมมาจากครอบครัวถานะทางสังคมระดับปานกลาง ไม่ได้เป็นเศรษฐี แต่ก็ไม่ยากจน สมัยเป็นนักเรียนเกรดก็ถือว่า ปานกลาง ไม่ได้เกียรตินิยมเหรียญทองแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย สอบไม่ติด Ox-Bridge แต่ก็ได้ที่ Exeter. ตอนนี้อายุผมก็ถือว่าเป็นวัยกลาง คน หาเลี้ยงปากท้องจากการเป็นผู้วางแผนทางการเงิน ดูเหมือนว่าในยุคนี้ฝีไม้ลายมือในการลงทุนระดับปานกลาง โดยเฉลี่ยถือว่าไม่ดีพออีกต่อไป

จากผลการวิจัยของกลุ่ม Richard Bernstein Advisors ในสหรัฐ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของนักลงทุนต่ำกว่าดัชนีของตลาดอย่างเห็นได้ชัด ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอัตราเฉลี่ยผลตอบแทนของนักลงทุนอเมริกันที่ลงทุนในหุ้นอยู่ที่ 3.7% ต่อปี ในขณะที่กองทุนซึ่งลงทุนในตลาดเดียวกันกลับได้ผลตอบแทนถึง 9.5% ต่อปีในช่วงระยะเวลาเดียวกัน เหตุผลที่พอจะอธิบายได้ว่าทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่จึงล้มเหลว เพราะเขาเหล่านั้นพยายามที่จะลงทุนตามจังหวะเวลาของตลาด ทำให้ประสิทธิผลของการลงทุนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

จากผลการวิจัยของ DALBAR นักลงทุนพยายามที่จะยักย้ายถ่ายเงินเข้าออกตามวัฏจักรของตลาด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อดัชนี S&P เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนก็จะพากันเทเงินลงในกองทุนหุ้น แต่เมื่อดัชนี S&P ตกลง เงินที่ควรจะเข้าไปอยู่ในกองทุนหุ้นก็จะลดลงตามไปด้วย นอกจากนั้นแล้วภาวะอารมณ์ของนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความกลัว และสัญชาติญาณของการไล่ล่า มีมากกว่าการใช้เหตุผล ก็ถือเป็นส่วนที่ขับดันการตัดสินใจของนักลงทุนได้เช่นกัน

ความพยายามที่จะลงทุนตามจังหวะของตลาด อาจจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากนักลงทุนลงทุนและถือครองดัชนี S&P 500 ซัก 20 ปีจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556 อัตราผลตอบแทนอาจจะสูงถึง 9.5% ต่อปี แต่ผลตอบแทนจะลดเหลือครึ่ง หากนักลงทุนพลาดการถือครองในวันที่ดัชนีขึ้นสูงสุด 15 วัน ในตลอดระยะเวลา 20 ปี และผลตอบแทนจะกลายเป็นติดลบทันที หากพลาดการถือครองในวันที่ดัชนีขึ้นสูงสุด 40 วัน เพราะฉะนั้นการลงทุนที่ประสพความสำเร็จ จะต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อยู่ในตลาด และเงินลงทุนจะอยู่ได้นานแค่ไหนไม่ใช่การเข้าให้ถูกจังหวะอย่างที่เข้าใจกัน

การตัดสินใจของนักลงทุนที่ไม่มีเหตุผลก็เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ในเชิงวิทยาศาตร์ มันคือแนวคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์ที่เป็นความรู้สึกกลัวตายหรือเรียกว่า Loss Aversion เป็นแนวคิดที่ทำให้คนที่มีเหตุผลได้พบว่าตัวเองถูกครอบงำด้วยความกลัวว่าจะเกิดการสูญเสียอย่างต่อเนื่อง จึงได้ทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่มีราคาแพงในการลงทุนของพวกเขา

นักจิตวิทยา 2 ท่านชื่อ Daniel Kahneman and Amos Tversky ได้เขียนรายงานผลการศึกษาออกมาชุดหนึ่งเปิดเผยว่าคนเราให้คุณค่าต่อเรื่องของกำไรและขาดทุนในลักษณะที่แตกต่างกัน และเสนอแนวคิดในเรื่องของความกลัวการสูญเสีย Loss Aversion ด้วย   ความรู้สึกเจ็บปวดเพราะขาดทุนจากการลงทุนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของคนเรามากกว่าความรู้สึกอิ่มเอมใจตอนที่ลงทุนแล้วได้กำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกกลัวตายเป็นแนวโน้มของคนที่ชอบหลี่กเลี่ยงการขาดทุน ซึ่งตรงข้ามกับช่วงที่เขาได้กำไรจากการลงทุนในมูลค่าเท่าๆกับที่ขาดทุนมา

ในการศึกษาช่วงแรกๆ นักจิตวิทยา 2ท่านนี้ได้ทำโพลล์แบบสอบถามตามคำถามถัดไปนี้ โดยบีบให้คนที่ตอบแบบสอบถามต้องเลือกตัดสินใจข้อใดข้อหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่จะได้กำไรหรือขาดทุนจากการลง ทุนในมูลค่าที่เท่าๆกัน คำถามมีอยู่ว่า

1.คุณมีเงิน 1,000 บาท และคุณต้องเลือกข้อ ก หรือ ข
ก. คุณมีโอกาส 50% ที่จะชนะได้เงินรางวัล 1,000 บาท หรือ มีโอกาส 50% ที่จะแพ้และสูญเงิน 1,000 บาท
ข. คุณมีโอกาส 100% ที่จะชนะได้รางวัล 500 บาท (ได้รางวัลแน่นอน)

ทั้งนี้ คนที่ร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 84% เลือกข้อ ข. สะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนมากเป็นประเภท “หลีกหนีความเสี่ยง” และเต็มใจที่จะรับเงินจำนวนหนึ่งที่สมเหตุสมผล แม้ว่าจะมีโอกาสมากพอ 50/50 ที่จะชนะเงินรางวัลจำนวนมากกว่าก็ตาม

2.คุณมีเงิน 1,000 บาท และคุณต้องเลือกระหว่างข้อ ก หรือข้อ ข
ก. คุณมีโอกาส 50% ที่จะสูญเงิน 1,000 บาท และมีโอกาส 50% ที่จะไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
ข. คุณมีโอกาส 100% ที่จะสูญเสียเงินจำนวน 500 บาท (เสียแน่นอน)

ผู้ที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 69% เลือกข้อ ก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนส่วนมากเต็มใจที่จะ “ลองเสี่ยง”ดู เมื่อมีโอกาส 50/50 ที่จะหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้

นักจิตวิทยาทั้งสองท่านได้ข้อสรุปจากงานศึกษาชิ้นนี้บวกกับชิ้นอื่นๆด้วยว่า หากตัวเลขของกำไรและขาดทุนมีเท่าๆกัน นักลงทุนส่วนมากจะให้น้ำหนักกับผลขาดทุนมากกว่าการได้กำไร ในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมาการพบข้อสรุปนี้ช่วยทำให้เกิดความก้าวหน้าในการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจลงทุนในตลาดการเงิน (หรือที่เรียกว่าพฤติกรรมด้านการเงินการลงทุน) และก็ได้ค้นพบว่านักลงทุนมักมีการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลมาโดยตลอดเพราะกลัวการขาดทุน (เช่น การซื้อหุ้นในราคาสูงและขายตอนราคาต่ำ แทนที่จะทำในทางกลับกัน)

ผมยอมรับว่า 20 ปีเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับคนส่วนใหญ่ และเรายังต้องใช้ความอดทนอย่างสูงในการที่จะฝ่าข้ามภาวะตลาดบางช่วงซึ่งเกิดความผันผวนโดยไม่คาดฝัน ผมขออนุญาตอ้างอิงคำแนะนำของ Sir John Templeton นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ที่บอกว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนคือตอนที่คุณมีเงิน หากคุณมีความกังวลก็ให้ลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป  มันเป็นเรื่องไร้สติที่จะไม่ลงทุน เพราะในระยะยาวแล้วจังหวะในการเข้าลงทุนแทบจะไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างแต่อย่างใด” วิธีที่จะลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไปคือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) โดยลงทุนด้วยจำนวนเงินที่กำหนดไว้ คุณจะได้ต้นทุนเฉลี่ยการลงทุนของคุณ และมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าเราสามารถทำกำไรได้เมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง

วิธีลงทุนแบบนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งครับ เพราะช่วงเวลาจากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุดอาจกินเวลาหลายปี ตอนวิกฤติครั้งก่อนในปี 2540 นั้น ดัชนีหุ้นไทยมีผลตอบแทนติดลบต่อเนื่องกันนานถึง 5 ปี และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ดัชนีจะล้างผลขาดทุนได้ ด้วยเหตุนี้การใช้แนวทางลงทุนระยะยาวเพียงอย่างเดียวอาจไม่เป็นการเพียงพอ การเพิ่มการลงทุนแบบ DCA เข้าไปด้วย จะช่วยล้างผลขาดทุนได้เร็วขึ้น

จริงๆแล้ว จังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุนคือช่วงที่บรรยากาศการลงทุนอยู่ในลักษณะมืดมัวอึมครึมและช่วงที่ตลาดเกิดความโกลาหลอลหม่าน

โปรดใช้บทเรียนจากอดีตเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าการลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่องและใช้วิธีลงทุนแบบ DCA จะช่วยให้คุณมีโอกาสทำกำไรได้  การรอคอยจนเศรษฐกิจปรับตัวลงถึงจุดต่ำสุดจึงค่อยรู้สึกปลอดภัยและเข้าลงทุน ไม่ใช่วิธีการที่ดีที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนในอนาคต  ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นคือช่วงที่มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยปัจจัยเชิงลบ เหมือนกับที่นักลงทุนรุ่นเก่าๆเคยกล่าวไว้ว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนคือช่วงที่มีเลือดเจิ่งนองเต็มท้องถนน ถึงแม้จะเป็นเลือดของคุณเองก็ตามเถอะ”

ผู้อ่านสามารถส่งคำถามเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลให้ผมได้ที่ [email protected]

ข่าวล่าสุด

ศาลนัดกำหนดวันนัดสืบพยาน "คดีตึกสตง.ถล่ม" ใหม่! โจทก์ร่วมหวั่นไม่รอบคอบ