ลุแก่อำนาจ
ตราบใดผู้มีอำนาจยังชื่นชอบพฤติกรรมประชาธิปไตยในคราบเผด็จการ เป็นเช่นนี้แล้วใครเล่าจะร่วมมือ
โดย...อสนีบาต
ทำไปทำมา ภารกิจช่วยพี่ชายกลับประเทศ โดยผ่านกลวิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ดูจะสร้างความยากลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก
ลำพังแต่หวังเสียงข้างมากตามเอ่ยอ้างมีมหาประชาชนสนับสนุนแข็งแกร่งอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถทำภารกิจดังกล่าวได้สำเร็จ
อย่างที่เคยกล่าวไว้ ปัจจัยแทรกซ้อนเป็นตัวแปรเหนี่ยวรั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้สาละวนอยู่กับการแก้สารพัดปัญหาที่กำลังพ่นพิษ ซึ่งจะมีผลให้ภารกิจใหญ่ช่วยพี่ชาย ไม่สามารถแหกคิวมาได้ในระยะนี้
ซ้ำร้ายจากแผนการเดิมที่วางไว้อาจต้องไปเริ่มต่อคิวท้ายแถวอีกต่างหาก
โดยเฉพาะการใช้อำนาจไม่ถูกทิศถูกทางย่ำยีความรู้สึกไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับสร้างรอยแยก ของคนในชาติให้ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
ไล่เลียงกันดูหน่อยปะไร การกลับเข้าสู่ยุคมาเฟียในเครื่องแบบครองเมือง เมื่อมือกฎหมายจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ถูกรุมตีศีรษะ ด้วยคำยืนยันของผู้เสียหาย มาจากการเดินเรื่องคดีความทางการเมือง เกี่ยวพันนายตำรวจ แต่น่าทึ่งจนถึงป่านนี้คดีไม่มีความคืบหน้า คิดแบบขำๆน่าจะให้ดีเอสไอมาเร่งสางคดีจะดีกว่าไหม
ขนาดเรื่องราวทางบันเทิง เกิดเหตุการณ์สั่งยุติละครอิงเนื้อหาการเมือง “เหนือเมฆ 2 “ เร็วกว่ากำหนด โดยเป็นที่ทราบดี มีขบวนการทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงการองค์กรสื่อทีวี หันมาดู ลีลาการบริหารของเสนาบดีที่แสดงความหยามเหยียด ด้วยคำกล่าว ”อย่าเอาคนไม่มีสมองมาร่วมเวทีสานเสวนาแก้รัฐธรรมนูญ“ ตามด้วยคำขู่ไปถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน”สมควรไปตายซะ” ทำเอาครอบครัวหวาดหวั่นการคุกคามที่จะมาถึง ในที่สุดผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านตัดปัญหาขอลาออกไปแล้ว ก็ดูจะแสดงให้เห็นถึงผู้คุมกลไกทางปกครองคลั่งอำนาจเสียเหลือเกิน
หรือกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร ที่มีคิวให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาให้การต่อศาลโลกก่อนจะมีคำตัดสินในช่วงเดือนเม.ย.ปีนี้ นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะในขณะที่มวลชนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวแสดงถึงการหวงแหนอธิปไตย แต่คนในรัฐบาลอย่าง รมว.ต่างประเทศ กลับมองกลุ่มคนเหล่านี้ในทางลบไปไกลถึงขั้นจ้องล้มรัฐบาล ขณะเดียวกันก่อเกิดปฏิกิริยาของคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองฟากรัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาสกัดกั้นกลุ่มคนที่เข้าไปแสดงพลังหวงแหนแผ่นดิน จนสถานการณ์อาจซ้ำร้อยเหมือนปีที่ผ่านมาเกิดการเผชิญหน้าปะทะกันหัวล้างข้างแตก ทั้งที่เป็นเรื่องของการแสดงออกการหวงแหนแผ่นดินแท้ๆ แต่คนที่มีเลือดสีแดงอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยด้วยกันกับประหัตประหารกันเอง
เมื่อสังคมชาติอยู่ในสภาพไม่สามัคคี ทำให้ประเทศคู่กรณีกระหยิ่มยิ้มย่อง บทสรุปสุดท้ายอาจออกมาตามที่รัฐมนตรีบัวแก้วของประเทศไทยบอกไว้ ไม่แพ้ก็เสมอตัวกระมัง
แม้แต่อาการไม่พอใจของ”บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีต่อสื่อมวลชนที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของผู้นำทัพบกถึงขนาดบรรดาลูกน้องตบเท้าแสดงพลังหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ถึงสองครั้ง หะแรกทำให้คิดถึงปีก่อนที่มีกลุ่มนายตำรวจรวมตัวแสดงพลังปกป้อง บิ๊กตำรวจ หน้าพรรคประชาธิปัตย์ นั่นถือว่าอนาถแท้ต่อผู้ที่เรียกว่าเป็น”ข้าราชการ” ตำรวจ ในการทำหน้าที่ดูแลความสงบสุขให้พี่น้องประชาชน
มาพ.ศ.นี้ กับการที่กลุ่มนายทหารกระทืบท็อบบู๊ทพรึ่บพรั่บหน้าองค์กรสื่อยิ่งแย่หนักกว่าเดิม
จริงอยู่ทุกคนเชื่อในความเป็นทหารหาญ มีวินัยเคร่งครัด เลือดรักชาติไม่ต้องห่วง ตระหนักถึงการทำหน้าที่รักษาอธิปไตยชาติอย่างถึงที่สุด แต่อาการอดรนทนไม่ได้อ้างใช้สิทธิ พิทักษ์ผู้บังคับบัญชาต่อหน้าสื่อสารมวลชน อีกทั้งผู้นำทัพบก ยังออกมาให้ท้าย ดูจะไม่ค่อยสง่างามเท่าไหร่นัก ถึงแม้จะเพิ่งรู้สึกตัว กล่าวขอโทษองค์กรสื่อในภายหลังก็ตาม
คำว่า”ขอโทษ” มักจะตามมาภายหลังเกิดเหตุการณ์ความเลวร้ายก่อนทุกครั้ง เรียกว่า ตบหัวแล้วลูบหลัง ด้วยเพราะเพิ่งคิดได้ว่า ประชาชนคือแนวร่วมสำคัญในการขอความร่วมมือทำภารกิจต่างๆ
อย่างไรก็ตามแต่ การกระทำที่มันเริ่มบ่อยซ้ำซาก ต่อให้ขอโทษภายหลัง แต่สิ่งที่ฝังเข้าถึงกระดูกดำประชาชน มันก็มองเป็นอื่นไม่ได้ว่า สภาพของลุแก่อำนาจจากผู้มีอำนาจกำลังมาเยือนฝ่ายผู้ถูกปกครอง ไม่ต่างกับยุคสมัยในอดีต ที่มีสภาพผู้มีอำนาจกดหัวผู้ถูกปกครอง ด้วยการตรวจสอบสื่อ ปิดกั้นเสรีภาพ กำลังกลับมาครอบงำแผ่นดินนี้อีกครั้ง
เมื่อทหาร- ตำรวจ- นักการเมือง บางพวก บางตน ต่างแสดงอำนาจบาตรใหญ่เหนือผู้ถูกปกครองคือประชาชน สื่อมวลชน ให้อยู่ในสภาพห้ามพูด ห้ามแสดงออก หากยังเอ่ยอ้างจะสรรสร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยก็เหม็นขี้ฟันเปล่าๆ
ตราบใดผู้มีอำนาจยังชื่นชอบพฤติกรรมประชาธิปไตยในคราบเผด็จการ เป็นเช่นนี้แล้วใครเล่าจะร่วมมือ


