จบสวยปี68! “ชนินทธ์” ถือหุ้นใหญ่ “ชนัตถ์และลูก” ขยับยืนหนึ่ง DUSIT
ขยับเกมในเงาผู้ถือหุ้นใหญ่! ดีลที่ไม่ใช่การซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียน แต่เป็นการจัดวางอำนาจภายในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ DUSIT พร้อมคำยืนยัน โครงสร้างและนโยบายดุสิตธานียังเดินหน้าเหมือนเดิม
KEY
POINTS
- ขยับเกมในเงาผู้ถือหุ้นใหญ่!
- ดีลที่ไม่ใช่การซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียน แต่เป็นการจัดวางอำนาจภายในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ DUSIT
- พร้อมคำยืนยัน โครงสร้างและนโยบายดุสิตธานียังเดินหน้าเหมือนเดิม
ปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงอีกหนึ่งปีของการฟื้นตัวธุรกิจของ "ดุสิตธานี" แต่ยังกลายเป็นปีที่ชื่อของ "ทายาทดุสิตธานี" ถูกจับตามองมากกว่าภาพโรงแรมหรูหรือแผนลงทุนใหม่ๆ เพราะเบื้องหลังความสง่างามของแบรนด์เก่าแก่ กำลังมีดราม่าเชิงอำนาจและโครงสร้างการถือหุ้น
ย้อนกลับไปในช่วงที่ข่าวความขัดแย้งในกลุ่มพี่น้องทายาทโรงแรมดุสิตธานีเข้าสู่จุดเดือด นับตั้งแต่ "ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" เสียชีวิตในปีพ.ศ.2563 ในช่วงเกิดวิกฤติโควิด-19 ธุรกิจโรงแรมค่อนข้างย่ำแย่จึงตกลงกันให้บุตรชายคนโต "ชนินทธ์ โทณวณิก" ดูแล "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ซึ่งถือหุ้นใหญ่ 49.74% ใน "บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT"
ขณะที่บุตรสาวทั้งสอง "นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค และ นางสินี เธียรประสิทธิ์" ได้รับหุ้น "บริษัท ปิยะศิริ จำกัด ถือหุ้นใหญ่โรงพยาบาลสุขุมวิท" และ "บริษัท ธนจิรัง จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์" พร้อมกับนำทรัพย์สินอื่นๆชดเชยให้เท่ากัน แต่ต่อมามีความเห็นต่างเกี่ยวกับแนวทางจัดสรรทรัพย์สินและมรดก โดยต่างฝ่ายต่างมีข้อชี้แจงต่อศาลตามสิทธิทางกฎหมาย
ในขณะนั้นได้ถอด "ชนินทธ์ โทณวณิก" ออกจากบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ก่อนที่จะแต่งตั้ง "นายภัทร สาลีรัฐวิภาค และนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์" เป็นกรรมการใหม่ แต่ท้ายสุดรอดการถูกถอดถอน
การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเผชิญโรคเลื่อนหลายครั้งหลายครา จากประชุมวันศุกร์ ที่ 26 กันยายน 2568 ขยับเป็นวันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม 2568 แต่ด้วยผู้ถือหุ้นของบริษัทว่าได้มีการร้องเรียนเป็นหนังสือไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า เนื่องจากอาจมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการข้างมากของบริษัท
รวมถึงเปลี่ยนแปลงอำนาจในการลงนามผูกพันบริษัทไปอย่างสิ้นเชิงอันจะเป็นการครอบงำบริษัทและเข้ามามีอำนาจควบคุมในบริษัท โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวขอให้ประธานในที่ประชุมพิจารณายกเลิกหรือเลื่อนการประชุมในวาระที่ 4 และ 5 ออกไปจนกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้สอบสวนเรื่องดังกล่าวจนได้ข้อยุติ
ประธานในที่ประชุมหารือกับที่ปรึกษากฎหมายก่อนเริ่มการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น และเห็นควรให้เลื่อนการพิจารณาวาระที่ 4 และ 5 เลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันศุกร์ ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2569 เวลา 14.00 น. ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting)
"ชนินทธ์" ถือหุ้นใหญ่ "ชนัตถ์และลูก"
กระทั่งล่าสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ท่ามกลางบรรยากาศปลายปีที่ตลาดทุนเงียบเหงา ข่าวจาก "บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT" กลับสร้างแรงกระเพื่อมบางๆให้กับนักลงทุน เมื่อการขยับหมากภายในโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568 เมื่อ "นายชนินทธ์ โทณวณิก" รักษาการประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของดุสิตธานี ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นจำนวน 1,200,000 หุ้น ใน "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ DUSIT ที่ถือหุ้นในบริษัทอยู่ถึง 49.74% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด
ดีลครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วน 15.96% ของหุ้นทั้งหมดของชนัตถ์และลูก ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของคุณชนินทธ์ในบริษัทดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 41.36% และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทำให้สิทธิออกเสียงของคุณชนินทธ์ ทะลุเกิน 30% ตามเกณฑ์กฎหมายหลักทรัพย์
ผลคือ "ชนัตถ์และลูก" ถูกจัดให้มีสถานะเป็น "นิติบุคคลตามมาตรา 258" ของคุณชนินทธ์ และมีการรายงานการได้มาซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ผ่านแบบรายงาน 246-2 เป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ DUSIT เน้นย้ำอย่างชัดเจนคือ "ดีลนี้ไม่ใช่การซื้อหุ้น DUSIT โดยตรง"
คุณชนินทธ์ ไม่ได้เข้าซื้อหุ้นของดุสิตธานีเพิ่มเติมแม้แต่หุ้นเดียว และสัดส่วนการถือหุ้นของชนัตถ์และลูกใน DUSIT ยังคงเท่าเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือการ "จัดระเบียบอำนาจภายในผู้ถือหุ้นรายใหญ่" มากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน
ดุสิตธานี ยังย้ำด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นในชนัตถ์และลูก ไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายการดำเนินธุรกิจ โครงสร้างการบริหาร หรือการจัดการของบริษัท แต่อย่างใด ทุกอย่างยังคงเดินหน้าตามแผนเดิม
ในสายตานักลงทุน นี่อาจไม่ใช่ข่าวหวือหวาในเชิงตัวเลข แต่เป็นสัญญาณของความชัดเจนและความต่อเนื่องด้านการกำกับดูแล ภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DUSIT เพราะในโลกของการลงทุน บางครั้ง การขยับเงียบๆใต้ผิวน้ำ อาจบอกทิศทางระยะยาวได้ชัดเจนกว่าคลื่นที่ดูสงบนิ่งบนผิวน้ำ.


