5 เทคนิคกระจายความเสี่ยง ปรับพอร์ตให้แกร่ง เพิ่มผลตอบแทน
ชัยชนะของหุ้น Big Tech อาจทำให้พอร์ตคุณเสี่ยงสูงเกินไปโดยไม่รู้ตัว ต้องรีบทบทวนสัดส่วนใหม่เพื่อป้องกันความเสียหายหากตลาดพักฐาน ปรับสมดุลพอร์ตให้กลับสู่เป้าหมายเดิม แล้วกระจายการลงทุนไปสู่ "หุ้นนอกสหรัฐฯ-หุ้นคุณค่า-หุ้นขนาดเล็ก"
KEY
POINTS
- ชัยชนะของหุ้น Big Tech อาจทำให้พอร์ตคุณเสี่ยงสูงเกินไปโดยไม่รู้ตัว ต้องรีบทบทวนสัดส่วนใหม่เพื่อป้องกันความเสียหายหากตลาดพักฐาน
- ปรับสมดุลพอร์ตให้กลับสู่เป้าหมายเดิม กระจายสู่ "หุ้นนอกสหรัฐฯ-หุ้นคุณค่า-หุ้นขนาดเล็ก" ซึ่งราคาไม่แพงและมีโอกาสเติบโตสูง
- เสริมความแกร่งด้วย "พันธบัตรและหุ้นปันผล" เพื่อสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวน
ตลอดช่วงปี 2568 นักลงทุนอาจรู้สึกว่าพอร์ตลงทุนของตัวเองก็สร้างผลตอบแทนได้ดี ทำไมต้องปรับเปลี่ยนให้วุ่นวาย แต่ในโลกของการลงทุน ความสำเร็จที่โดดเด่นมักแฝงไปด้วยความเสี่ยงที่มองไม่เห็น เพราะหลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างผลตอบแทนให้ได้อย่างโดดเด่นตลอดในปีนี้ พอร์ตลงทุนที่ดูดีในวันนี้ อาจกลายเป็นพอร์ตลงทุนที่เสี่ยงกระจุกตัวเกินไปได้เหมือนกัน หากไม่ได้ทบทวนสัดส่วนสินทรัพย์ลงทุนในพอ์ตลงทุน
คำว่า กระจายการลงทุน (Diversification) หมายถึง การกระจายเงินไปในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์ลงทุนแค่ไม่กี่ตัว และเพิ่มโอกาสรับโอกาสการเติบโตจากหลายทิศทาง
ซึ่งในทางปฏิบัติ สำหรับนักลงทุนที่ยังอยู่ในช่วงสะสมเงินระยะยาว การมีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม ก็มักจะเพียงพอเป็นฐานของการกระจายความเสี่ยงแล้ว
ดังนั้น เพื่อให้พอร์ตลงทุนมีความสมดุลและทนทานต่อความผันผวน Morningstar ได้เสนอวิธีง่ายๆ ในการกระจายพอร์ตลงทุนสำหรับปี 2569 ที่ไม่ซับซ้อน แต่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้พอร์ตลงทุน โดยได้เน้นคอนเซปต์ว่าทำง่าย ใช้ได้จริง มากกว่าการไปใช้เครื่องมือที่อาจซับซ้อนเกินความจำเป็นสำหรับนักลงทุนทั่วไปดังนี้
วิธีแรก Rebalance ปรับสมดุลพอร์ต รีเซ็ตสัดส่วนหุ้นไม่ให้เสี่ยงเกินพิกัด
การปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุนให้กลับมาใกล้เคียงเป้าหมายเดิม โดยหลังจากตลาดผันผวนมาระยะหนึ่ง ถ้าเราเริ่มต้นลงทุนโดยมีเป้าหมายให้หน้าตาพอร์ตลงทุนเป็น 60/40 (คือ ลงทุนหุ้น 60% ลงทุนตราสารหนี้ 40%) แต่ปีนี้หลังจากหุ้นทำผลงานได้ดี เพราะได้ลงทุนหุ้น AI หรือหุ้นเติบโตของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ จะทำสัดส่วนหุ้นในพอร์ตลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มเป็น 80% ของพอร์ตลงทุน (จาก 60%)
หากไม่มีการปรับพอร์ตใด ๆ และเกิดโชคดีที่หุ้นยังขึ้นต่อ สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตก็จะยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็น 90% ของพอร์ตก็ได้ แต่หากโชคร้าย สถานการณ์พลิกเป็นหุ้นปรับลดลงแรง พอร์ตลงทุนที่มีหุ้นในสัดส่วนสูง ๆ จะเสียหายหนัก
ดังนั้น ควร Rebalance คือ การปรับสมดุลของพอร์ตลงทุนให้สัดส่วนของสินทรัพย์ต่าง ๆ กลับมาอยู่ในนโยบายการลงทุนส่วนตัวหรือพอร์ตตั้งต้นที่วางไว้ วิธีการทำได้ 2 ทาง ดังนี้
- ขายสินทรัพย์ประเภทที่เกินสัดส่วนเดิม (Overweight) ออกไป เช่น ขายหุ้นออกไปให้เหลือสัดส่วนเพียง 60% ของมูลค่าพอร์ต แล้วนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพื่อให้กลับมามีสัดส่วนเท่าเดิมในพอร์ตลงทุนตั้งต้น
- นำเงินมาเติมในพอร์ตลงทุน โดยซื้อสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนลดลงให้กลับมาเท่าเดิม (Underweight) เช่น ซื้อตราสารหนี้เพิ่ม เพื่อให้กลับมามีสัดส่วน 40% เหมือนเดิม
วิธีที่สอง เพิ่มน้ำหนักพันธบัตร สร้าง "แนวกันชน" คุ้มครองพอร์ตรับวัยเกษียณ
การเพิ่มน้ำหนักในพันธบัตร โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่อายุเริ่มเข้าใกล้หรือเกิน 50 ปี โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่า ช่วงวัยนี้ควรเริ่มลดความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนลงบางส่วน และสร้างแนวกันชนด้วยสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตรคุณภาพดี อายุสั้นถึงปานกลาง และเงินสดบางส่วน
แนวคิดคือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้เงินมากขึ้น ความผันผวนขาลงของตลาดหุ้นจะเริ่มกระทบเป้าหมายเกษียณมากขึ้น ดังนั้น การมีตราสารหนี้ไว้ในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงช่วยให้พอร์ตปลอดภัยมากขึ้น ขณะที่ยังมีโอกาสเติบโตระยะยาว
วิธีที่สาม เพิ่มหุ้นต่างประเทศ (Non-US) ดักโอกาสทำกำไรจากตลาดที่ราคาไม่ตึงตัว
การเพิ่มสัดส่วนหุ้นต่างประเทศ โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่าในปี 2568 หุ้นต่างประเทศ (หุ้นนอกสหรัฐอเมริกา) เริ่มฟื้นตัว ทำผลตอบแทนได้ดี หลังจากที่แพ้หุ้นสหรัฐอเมริกามาหลายปี แต่ถ้ามองย้อนหลังเป็นสิบปี หุ้นนอกสหรัฐอเมริกา ยังให้ผลตอบแทนตามหลังตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่พอสมควร ทำให้ Valuation โดยรวมยังดูไม่ตึงตัวเท่าตลาดสหรัฐอเมริกา
หมายความว่าการมีหุ้นต่างประเทศในพอร์ตลงทุน จึงช่วยทั้งด้านการกระจายความเสี่ยงประเทศหรือสกุลเงิน และเปิดโอกาสรับ Upside จากตลาดที่ยัง Outperform หรือหุ้นมีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดสหรัฐอเมริกา รวมถึงโครงสร้างภาคธุรกิจที่ต่างกัน ซึ่งบางช่วงอาจทำผลงานได้ดีกว่าเมื่อธีมเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาแผ่วลง
TSI-Article-728-Inv-us-vs-non-us-stock-returns-10-year-comparison
ที่มา: Morningstar
(จากกราฟ) แสดงผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เทียบกับหุ้นนอกสหรัฐอเมริกา โดย Morningstar US Market Index (เส้นสีน้ำเงิน) เป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี ดีกว่า Morningstar Global Market Index เป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นโลก (ยกเว้นหุ้นสหรัฐอเมริกา) หมายความว่า 10 ปีที่ผ่านมา ใครถือแต่หุ้นสหรัฐอเมริกาจะรู้สึกว่าถูกต้องทั้งหมด แต่ผลของการวิ่งทิ้งห่างแบบนี้ทำให้ตอนนี้ Valuation หุ้นสหรัฐอเมริกาตึงตัวขึ้น ในขณะที่หุ้นนอกสหรัฐอเมริกายังตามหลัง และอาจมีช่องให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะข้างหน้า
วิธีที่สี่ เพิ่มหุ้นคุณค่าและหุ้นขนาดเล็ก ลดความเสี่ยงพอร์ตกระจุกตัวในหุ้นยักษ์ใหญ่
การเพิ่มน้ำหนักหุ้นคุณค่าและหุ้นขนาดเล็ก โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่าปัจจุบันนักลงทุนจำนวนมากถือกองทุนดัชนีสหรัฐอเมริกา เช่น S&P 500 หรือกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีนโยบายลงทุนทั้งตลาด แต่ก็มีน้ำหนักไปทางหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างมาก เช่น กองทุนอ้างอิง S&P 500 อย่าง SPY มีน้ำหนักในหุ้น Nvidia เพียงตัวเดียวเกือบ 8% และเมื่อรวมกลุ่มเทคโนโลยีแล้วกินสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของพอร์ต
ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้พอร์ตลงทุนมีสัดส่วนในหุ้น AI และหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ (Mega cap) ไม่กี่ตัวมากเกินไป การเสริมด้วยกองทุนหุ้นขนาดเล็ก (Small cap) หุ้นคุณค่า (Value) หรือกองทุนที่เน้นหุ้นหุ้นคุณค่าขนาดเล็ก (Small cap Value) จึงเป็นอีกทางหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวและเพิ่มโอกาสจากกลุ่มที่ยังไม่ได้วิ่งแรงในรอบที่ 2568
วิธีที่ห้า เพิ่มหุ้นปันผล สร้างกระแสเงินสดและเสริมเสถียรภาพให้พอร์ตลงทุน
การเพิ่มหุ้นปันผล สำหรับหุ้นจ่ายปันผลมักกระจุกตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม เช่น สาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคบริโภค สุขภาพ อุตสาหกรรม และการเงิน ซึ่งมักเคลื่อนไหวต่างจังหวะกับหุ้นเทคโนโลยี
โดยข้อมูล Morningstar แนะนำว่าการเพิ่มน้ำหนักหุ้นปันผลในพอร์ตลงทุนจึงช่วยให้ยังอยู่ในตลาดหุ้น แต่ไม่ต้องพึ่งพาแค่ธีม AI หรือหุ้นเทคเท่านั้น
ขณะเดียวกัน รายได้จากเงินปันผลก็ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นผันผวน
โดย : ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.


