ผ่าอนาคต 2026 'TU-ITC-TFM' ปรับทัพธุรกิจอาหารโลก คุมต้นทุน-ลดเสี่ยง FX-รุกตลาดใหม่
กลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่รับปี 2569 ปักหมุด "TFM" เร่งพัฒนาอาหารปลา–ขยายตลาดส่งออก "ITC" คุมต้นทุน-ชะลอขยายโรงงาน รอจังหวะ M&A ส่วน "TU" แม่ใหญ่หั่นเป้ารายได้แต่ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเกือบ 20% เตรียมรับดีลภาษีสหรัฐฯ หากยกเลิกภาษีนำเข้า 19% อาจหนุนกำไรทะยาน
KEY
POINTS
- กลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่รับปี 2569 ปักหมุด "TFM" เร่งพัฒนาอาหารปลา-ขยายตลาดส่งออก
- "ITC" คุมต้นทุน-ชะลอขยายโรงงาน รอจังหวะ M&A
- "TU" แม่ใหญ่หั่นเป้ารายได้แต่รักษาอัตรากำไรขั้นต้นเกือบ 20% เตรียมรับดีลภาษีสหรัฐฯหากยกเลิกภาษีนำเข้า 19% อาจหนุนกำไรทะยาน
ในปีที่ทั่วโลกเผชิญแรงกดดันจาก "ภาษี-ค่าเงิน-ต้นทุนวัตถุดิบ" ไม่มีใครหนีคลื่นนี้พ้น! แม้แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการอาหารทะเลโลกอย่าง "กลุ่มไทยยูเนี่ยน" ต้องขยับเกมครั้งใหญ่!
3 เอนจิ้งขับเคลื่อนปี 2026
"ปิยนุช มริตตนะพร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ อาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บก เผยในงาน Opportunity Day คาดภาพรวมธุรกิจในปี 2569 คาดเติบโตมาจาก 3 ส่วนหลักดังนี้คือ
- การพัฒนาอาหารปลาน้ำจืด TFM จะมุ่งเน้นการพัฒนาสูตรอาหารปลา น้ำจืดในประเทศ เช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาช่อน ปลาดุก และปลาสลิด ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีส่วนแบ่งไม่มากนักและมีโอกาสในการแข่งขัน
- การฟื้นตัวของอินโดนีเซีย (TUKL) อินโดนีเซียยังคงถูกจัดให้เป็น Growth Engine ของกลุ่ม โดยคาดหวังว่าจะฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคระบาดและสารกัมมันตภาพรังสี และมีการปรับปรุงคุณภาพการผลิต
- การขยายตลาดส่งออก บริษัทตระหนักว่าการพึ่งพาลูกค้าเพียงไม่กี่ราย หรือไม่กี่ประเทศเป็นความเสี่ยง จึงมุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนประเทศในการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยระยะยาว
มุมมองทางการเงินและภาษี TFM เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ BOI ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% เป็น 0% เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม สำหรับอาหารกุ้งที่ระโนดและอาหารปลาที่มหาชัย
ขณะที่ Global Minimum Tax (GMT) ในไตรมาส 3/68 TFM บันทึกผลกระทบจาก GMT ไว้ที่ประมาณ 4 ล้านบาท
"TFM มีความสามารถในการทำกำไร แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะสูงขึ้นอย่างมากเช่นในปี 2023 เนื่องจากมีการพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น การเพิ่มผลผลิตและควบคุมต้นทุนค่าไฟและบุคลากร พร้อมล็อกราคาวัตถุดิบล่วงหน้า 3-6 เดือนแล้วแต่ประเภท นอกจากนี้ เรายังป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) 100% สำหรับการนำเข้า"
ITC เดินหน้าคุมต้นทุน
"รอย ชาน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) คาดว่าจะยังคงเติบโตในระดับ 3-4% ต่อไปจนถึงปี 2030
แม้อัตราการเติบโตจะช้าลงกว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังเชื่อว่าอยู่ในอุตสาหกรรมที่ถูกต้อง
ภาพรวมธุรกิจปี 2569 งานหลายสิ่งอย่างที่ทำอยู่ ทำต่อไป อย่าง Innovation และ New Product ทั้งนี้บริษัทยังมั่นใจตลาดอเมริกา แม้หลายท่านห่วงเรื่องภาษีแต่เท่าที่ประเมินบนตัวเลขจริงไม่น่ากังวลมาก ส่วนการขยายตลาดในยุโรป คาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นผลงานที่ดี
สิ่งที่ต้องทำนอกเหนือจากการขายคือ "การคุมต้นทุน" ยังต้องดำเนินการต่อไป ดังนั้นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต บริษัทจะชะลอไว้ก่อนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากกำลังการผลิตในภาพรวมมีความเพียงพอแล้วหลังจากการเปิดใช้โรงงานส่วนขยายในช่วงกลางปีที่แล้ว
ส่วนการลงทุนอื่นๆหากจำเป็นต้องเสริมกำลังการผลิตในบางรูปแบบก็จะดำเนินการ ขณะที่การลงทุนในรูปแบบ M&A เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญและไม่สามารถมองข้ามได้
"แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2568 ภาพรวมวอลุ่มและยอดขายคาดเติบโตใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า แต่ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนอาจทำให้ปรับตัวลดลง"
ค่าเงิน-ภาษีฉุดเป้ารายได้วูบ
ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU คาดแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2568 ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่แข็งเติบโต
โดย TU ตัดสินใจปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2568 ลงมาอยู่ในช่วงลดลง 2-4% จากเดิมที่คาดว่าจะลดลง 1-2% สาเหตุหลักมาจากการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ (FX) และผลกระทบส่วนหนึ่งจากภาษีนำเข้า 19% ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อปริมาณการขาย (Volume) ในตลาดอเมริกา
แม้รายได้จะถูกปรับลด แต่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)ยังคงทำได้ดี โดยคาดว่าทั้งปีจะอยู่ในช่วง 18.5-19.5% การปรับปรุง GPM มาจากธุรกิจ Ambiance และ Frozen Category
อีกทั้งเป้าหมายค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A หรือ HD&A)ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 13.5-14.5% จากเดิม 13.5-14% ส่วนหนึ่งเกิดจากอัตราส่วนที่สูงขึ้นในไตรมาส 1/68 และการใช้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ค่อนข้างสูง เพื่อทำการกระตุ้นยอดขายของแบรนด์
รวมถึงปรับลดเป้าหมายการใช้งบลงทุนในปี 2025 เหลือ 3,500-4,000 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติใน 3-4 ปีที่ผ่านมา 4,000-5,000 ล้านบาท การลดลงนี้เกิดจากการที่บริษัทสร้างโรงงานเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังอยู่ในช่วงของการใช้กำลังการผลิตของโรงงานให้เต็มที่ (utilize capacity)
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2569 ปัจจุบันอยู่ระหว่างทำประมาณการณ์ปีหน้า ตามปกติคาดแถลงในเดือน ก.พ.2569 แต่ในเบื้องต้นภาพรวมรายได้ปีหน้าควรเติบโตขึ้น
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักคือ ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่คาดว่าจะไม่สูงเท่าปี 2568 เพราะ FX น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และการคลี่คลายของสถานการณ์ การรอคำสั่งซื้อของลูกค้าในฝั่งสหรัฐฯจะกลับมา เนื่องจากความชัดเจนเรื่องอัตราภาษีนำเข้า
"ภาษีนำเข้า 19% ของสหรัฐฯ กำลังถูกพิจารณาในศาลของสหรัฐฯว่าจะสามารถบังคับใช้ได้จริงหรือไม่ หากผลการพิจารณาออกมาว่าภาษีนี้ไม่มีผลบังคับใช้ จะเป็นผลดีอย่างมากต่อ TU แต่แม้จะมีภาษีเราเชื่อว่ามีความสามารถในการแข่งขันที่สูง ส่วนผลกระทบจาก GMT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยประเมินว่าจะกระทบราว 300-350 ล้านบาท ตัวเลข Top-up Tax ที่ต้องเสียจริงลดลงเหลือเพียงประมาณ 100 ล้านบาทซึ่งกระทบต่อกำไรสุทธิ น้อยกว่าคาดการณ์ไว้"


