สะเทือน! เจาะงบไตรมาส 3/68 ลูก ปตท. ไปต่อ หรือ พอแค่นี้ ?
พายุพลังงานถล่มไตรมาส 3/68! กลุ่ม ปตท. เจอแรงกดดันรอบด้าน PTTGC ขาดทุนต่อเนื่อง TOP ซ่อมโรงกลั่นฉุดกำไร แต่โค้ง 4/68 ดีดกลับจากแผน Asset Monetization มูลค่าหลายหมื่นล้าน OR ช็อกยอดขายกัมพูชาร่วง 50% เร่งปรับกลยุทธ์ GPSC พอไหวแต่ยังหืดจับ
KEY
POINTS
- พายุพลังงานถล่มไตรมาส 3/68! กลุ่ม ปตท. เจอแรงกดดันรอบด้าน PTTGC ขาดทุนต่อเนื่อง
- TOP ซ่อมโรงกลั่นฉุดกำไร แต่โค้ง 4/68 ดีดกลับจากแผน Asset Monetization มูลค่าหลายหมื่นล้าน
- OR ช็อกยอดขายกัมพูชาร่วง 50% เร่งปรับกลยุทธ์ GPSC พอไหวแต่ยังหืดจับ
ตลาดทุนไตรมาส 3/68 ร้อนแรงไม่ต่างจากราคาน้ำมัน!
กลุ่มพลังงานไทยยังคงเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจและถือเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ชี้ชะตาตลาดหุ้นไทยเช่นกัน หากแต่เมื่อดูจากการประเมินแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/68 บริษัทในเครือ ปตท. อาจต้องเผื่อใจและวางแผนการลงทุนไว้ล่วงหน้า
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ "นารี อภิเศวตกานต์" เปิดประเดิมคาดการณ์งบไตรมาส 3/2568 ของ "บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)" คาดยังขาดทุน 3,000 ล้านบาท ตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่หดตัว หลักๆยังได้รับผลจากธุรกิจโอเลฟินส์ที่อ่อนแอตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง แม้โรงกลั่น GRM จะดีขึ้นแต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้
- โรงกลั่น : การใช้กำลังการผลิตคาดเพิ่มเป็น 104% จาก 103% ไตรมาสก่อน และจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นโดยดีเซล +2.89 Jet +1.75 เหรียญ แต่ LSFO -4.4 เหรียญต่อบาร์เรล แม้ Crude premium จะเพิ่มขึ้นแต่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทำให้ GRM เพิ่มเป็น 5.5 เหรียญต่อบาร์เรล จาก 5.3 เหรียญต่อบาร์เรลไตรมาสก่อน
- อะโรเมติกส์ : คาดการใช้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 80% จาก 77% ไตรมาสก่อน ส่วนต่างราคา BZ ลดลง -35 เหรียญ ส่วน PX +12 เหรียญ แต่ได้ส่วนช่วยจากราคา By product ที่ดีขึ้นทำให้การดำเนินงานทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า(Q-Q)
- โอเลฟินส์ : คาดการใช้กำลังการผลิต PE เพิ่มเป็น 85% จาก 80% จากไตรมาสก่อน แต่ในส่วน Polymer คาดการใช้กำลังการผลิตลดลงจาก 109% เป็น 104% ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ HDPE-นาฟทา หดตัว -31 เหรียญต่อตัน จากการเพิ่มการผลิตในเอเชียมากขึ้น อีกทั้งการใช้อีเทนลดลง -2% จากไตรมาสก่อนหน้า(Q-Q) จากการปิดซ่อมของโรงแยกแก๊ส แม้ไตรมาสนี้ราคา LPG จะลดลงราว 80 เหรียญก็ตาม แต่ราคาขายที่ลดลงและส่วนต่างราคาที่ลดลงทำให้การดำเนินงานหดตัว
โดยคาดการดำเนินงานหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า (Q-Q) จากปริมาณขาย Allnex ที่ลดลงจากผ่านช่วงฤดูกาลขายในครึ่งปีแรกแล้ว คาดไตรมาสนี้รายการพิเศษจะไม่มีนัยมากนักโดยมีขาดทุนสต็อกราว -1 เหรียญต่อบาร์เรล แม้จะมีโอนกลับ NRV เข้ามาทำให้สุทธิคาดมีขาดทุนราว -100 ล้านบาท
"แนวโน้มไตรมาส 3/68 คาดยังติดลบต่อจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังอ่อนแอ แม้กลุ่มโรงกลั่นจะฟื้นแต่ไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมดและคาดแนวโน้มไตรมาส 4/68 ยังอ่อนแอต่อ เรามองว่าตลาดอาจให้ความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มว่าจะช่วยให้การดำเนินงานดีขึ้น รวมถึงนโยบาย Anti-Involution ของจีนส่งผลให้อุปทานลดลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน"
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนคาดจะมีกำไรไม่มากเช่นกัน อย่างไรก็ตามจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอ คาดจะยังมีขาดทุนราว 3,161 ล้านบาท จาก -3,616 ล้านบาทไตรมาสก่อน
"กลยุทธ์เน้นเกาะไปกับการฟื้นตัวของราคาผลิตภัณฑ์ซึ่งจะล้อไปกับเศรษฐกิจจีน ขณะที่ Valuation ซื้อขายบน P/B25E เพียง 0.4 เท่า ทำให้มองว่า downside จำกัดสามารถเก็งกำไรเกาะไปกับข่าวได้"
แนวโน้มไตรมาส 4/68 ยังอ่อนแอจากการปิดซ่อม ฝ่ายวิจัยคาดว่าการดำเนินงานไตรมาส 4/68 ยังอ่อนแอจากการปิดซ่อมโรงกลั่นและโรงอะโรเมติกส์ราว 50 วัน และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ Allnex การดำเนินงานยังอ่อนแอตามปัจจัยฤดูกาลส่งผลให้ปริมาณขายหดตัวต่อ
ช่วงก่อน PTTGC แจ้งทำ Asset monetization (การแปลงสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดรายได้) ประกอบด้วยการขายหุ้นบริษัท TTT ให้กับ PTT tank จำนวน 35.43% ในมูลค่า 4,403 ล้านบาท และยังคงเหลือถืออยู่ 1% คาดว่าจะมีกำไรจากการขายหลังภาษีราว 1,103 ล้านบาท ซึ่ง PTTGC อาจได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติมจากการต่อสัญญาถังบรรจุอีเทนที่ระหว่างปี 2044-2052 เป็นจำนวนไม่เกิน 604 ล้านบาท
ขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ประกอบด้วยท่าเทียบเรือ และคลังเก็บผลิตภัณฑ์ให้กับ PTT tank ในมูลค่า 4,840 ล้านบาท และคาดจะมีกำไรจากการขายหลังภาษี 1,217 ล้านบาท ในส่วนนี้จะมีการเช่าสินทรัพย์กลับมาเพื่อใช้ดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าดีลดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 นี้
โดย asset monetization นั้นมูลค่ารวมอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ายังมีการทำธุรกรรมดังกล่าวอีกในช่วงที่เหลือของปี และคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะสิ้นสุดทั้งหมดปี 2569
บริษัทร่วมฉุดกำไร GPSC
"บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)" คาดกำไรไตรมาส 3/68 จะดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Y-Y) ได้ผลบวกจากต้นทุนลดลง แต่การหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า(Q-Q) เกิดจากบริษัทร่วมแรง แยกตามธุรกิจดังนี้
- โรงไฟฟ้า IPP คาดปริมาณขายไฟเพิ่มขึ้น +2% Q-Q จากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันผลิตทั้งไตรมาส และ +225% Y-Y จากปีก่อนเก็คโค่วันผลิตเพียง 1 เดือนเท่านั้น
- โรงไฟฟ้า SPP คาดปริมาณขายไฟ เพิ่มขึ้น +3% Q-Q แม้ขายไฟให้ EGAT ลดลงแต่ลูกค้า IU เพิ่มดี +6% Q-Q ส่วนไอน้ำ +13% Q-Q หลังกลับมาเดินเครื่องปกติ แต่หด -3% Y-Y จากการขายไฟให้ EGAT ลดลง แม้ขายไฟให้ IU เพิ่ม +1% แต่ขายไอน้ำ -1% เช่นกัน
ส่งผลให้ปริมาณขายไฟทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น +3% Q-Q และ +27% Y-Y ขณะที่ปริมาณขายไอน้ำ +13% Q-Q แต่ลดลง -1% Y-Y
กำไรขั้นต้น คาดที่ 15% ดีขึ้นทั้ง Y-Y และ Q-Q แม้ค่า Ft จะลดลง 7 สตางค์ต่อหน่วย Q-Q และ 21.33 สตางค์ต่อหน่วย Y-Y เป็น 18.39 สตางค์ต่อหน่วย แต่ GPSC ได้ผลบวกจากราคาก๊าซลดลง -14% Q-Q และ -11% Y-Y และราคาถ่านลดลง -3% Q-Q และ -16% Y-Y อีกทั้งจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นในกลุ่ม IU ขณะที่กลุ่ม SPP สต็อกที่มีอยู่ราคาใกล้เคียงกับราคาปัจจุบันทำให้การดำเนินงานดีขึ้นเช่นกัน
ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร คาดเพิ่มขึ้น +5% Q-Q และ +8% Y-Y ตามปัจจัยฤดูกาล แต่คาดดอกเบี้ยจ่ายลดลง -4% Q-Q และ -16% Y-Y ตามการจ่ายคืนหนี้ไปและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดจะพลิกรับรู้ขาดทุน แม้ว่าในส่วนโรงไฟฟ้าไซยะบุรีการดำเนินงานจะดีขึ้นทั้ง Y-Y และ Q-Q ตามปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น แต่ทั้งหมดถูกหักล้างจากการดำเนินงานของ CFXD ที่คาดจะพลิกมาขาดทุนราว 88 ล้านบาท
รวมถึง CFXD ที่คาดจะขาดทุน 827 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วง low season ทำให้การใช้กำลังการผลิต CUF อัตราส่วนของพลังงานที่ผลิตได้จริงต่อพลังงานสูงสุดที่สามารถผลิตได้ อยู่ที่เพียง 11% หากเทียบกับช่วง Peak ในไตรมาส 1/68 จะสูงถึง 42% ส่งผลให้การดำเนินงานพลิกมาขาดทุน อีกทั้งเงินไต้หวันอ่อนค่าทำให้มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษในการปรับอายุการคิดค่าเสื่อมราคาเข้ามาอีกด้วย
แต่คาดจะมีรายการพิเศษเกิดขึ้นจากการขาย AEPL ราว 750 ล้านบาท แต่จะมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งค่า -403 ล้านบาท ทำให้คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,787 ล้านบาท เพิ่ม +132% Y-Y แต่หดตัว -12% Q-Q
"GPSC เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เรายังชอบจากการดำเนินงานที่กลับมาฟื้นตัว ประกอบกับผลกระทบอื่นๆดูคลี่คลายลง และยังได้ผลบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงหนุนให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงด้วย ส่วนงานใหม่ๆอาจได้บริหารงานโรงไฟฟ้าเพิ่มจากกลุ่ม PTT ตามการปรับโครงสร้างธุรกิจ แม้ upside จากราคาเหมาะสมเหลือไม่มาก แต่เราแนะนำเก็งกำไรได้จากภาพอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและคาดงบไตรมาส 3/68 ยังเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ดี"
กัมพูชาหดแรง OR เตรียมปรับกลยุทธ์
"บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR)" คาดไตรมาส 3/68 กำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท ดีขึ้น +21% จากไตรมาสก่อนหน้า (q-q) แม้ปริมาณขายลดลงทั้งในและต่างประเทศ แต่อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
กลุ่ม Mobility (สถานีบริการ) คาดปริมาณขายน้ำมัน 5,956 ล้านลิตร หด -7% q-q กลุ่มค้าปลีกปริมาณขายหด -4% q-q โดยการลดลงของปริมาณขายมาจากปัจจัยฤดูกาล ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมหดตัวเช่นกัน 9-10% q-q เพราะ OR ไม่ลดราคาแข่งกับรายอื่น ทำให้แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร ปรับขึ้นอยู่ที่ 1.02 บาทต่อลิตร จาก 0.85 บาทต่อลิตร ในนั้นคาดจะมีกำไรจากสต็อก 570 ล้านบาทตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น
กลุ่ม Lifestyle (อาหาร และเครื่องดื่ม) ปริมาณขายกาแฟยังโตต่อเนื่องเพิ่มเป็น 108 ล้านแก้วจาก 107 ล้านแก้ว ทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่หาก EBITDA margin คาดหดตัวลงเล็กน้อยจากธุรกิจที่ไม่ใช่ F&B หดตัวลง
กลุ่มต่างประเทศ คาดปริมาณขายน้ำมันลดลง -12% q-q ที่ 505 ล้านลิตร โดยกัมพูชาปริมาณขายหดแรง -50% q-q จากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ส่วน สปป.ลาว หด -10% q-q จากปัจจัยฤดูกาล มีเพียงฟิลิปปินส์ปริมาณขาย เพิ่มขึ้น +10% q-q ขณะที่ยอดขายกาแฟลดลง -50% q-q จากไตรมาสก่อนที่ 8.4 ล้านแก้ว โดยในไตรมาส 3/68 ในกัมพูชา มีการปิดร้านกาแฟ 42 สาขา และสถานีบริการ 36 สาขา
ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร คาดเพิ่มขึ้น +2% q-q จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขาย และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม เพิ่มขึ้น +17% q-q จากบริษัทร่วมแห่งหนึ่งของกลุ่มได้รับงานเพิ่มขึ้น คาดการดำเนินงานปกติจะมีกำไร 2,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +11% q-q และมีกำไรจากสต็อกราว 570 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +21% q-q
สถานการณ์กัมพูชายังต้องดูต่อไป
สำหรับปัญหาความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชานั้น แม้จะมีสัดส่วนสถานีบริการแบบดีลเลอร์ (DODO) ถึง 85% ของสถานีบริการทั้งหมดก็ตาม แต่เริ่มเห็นการปิดตัวลงทั้งในส่วนสถานีบริการและร้านกาแฟตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในประเทศดังกล่าว
โดยล่าสุด OR เหลือจำนวนสถานีบริการทั้งสิ้น 155 สถานี แบ่งเป็น COCO 15 สถานี(บริหารเอง) และ DODO 140 สถานี(ดีลเลอร์บริหาร) ส่วนร้านกาแฟมีอยู่ทั้งสิ้น 217 ร้าน เป็น COCO 31 ร้าน และ DODO 186 ร้าน
"แม้ได้รับผลกระทบจากปัญหากัมพูชาทำให้ยอดขายในต่างประเทศจะหดตัวแรงก็ตาม แต่จากการดำเนินงานในประเทศซึ่งเป็นตลาดหลักของ OR เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน q-q โดยเฉพาะกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้นซึ่งหนุนให้การดำเนินงานดีขึ้นเช่นกัน อีกทั้งเริ่มเห็นส่วนแบ่งการตลาด 8 เดือนปี68 กลุ่มค้าปลีกขยับขึ้นเป็น 35.8% จาก 35.4% ในไตรมาส 1/68"
ผู้บริหารเผยว่าจะติดตามสถานการณ์ไปก่อนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่คาดว่าไม่ต้องมีการตั้งด้อยค่าใดๆเกิดขึ้นในกัมพูชา โดยยอดขายของกัมพูชาคิดเป็น 30% ของตลาดต่างประเทศ และคิดเป็นเพียง 2% ของยอดขายทั้งหมด
ขณะที่ EBITDA ในกัมพูชาคิดเป็น 3-5% ของภาพรวม 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยกรณีเลวร้ายสุดหากไม่สามารถดำเนินการต่อได้มูลค่าบัญชีในกัมพูชาอยู่ที่ราว 100 ล้านเหรียญ
"เราคาดผลกระทบต่อการแทรกแซงของรัฐบาลจะลดลงหลังฐานะกองทุนน้ำมันกลับมาเป็นบวกแล้ว ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรมีแนวโน้มดีขึ้น เว้นแต่จะถูกกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งอาจกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงได้ กลยุทธ์การลงทุนเก็งกำไรจากแนวโน้มงบไตรมาส 3/68 ที่จะออกมาดีทั้ง y-y และ q-q ได้"
TOP ปิดซ่อมโรงกลั่นฉุดกำไร Q3 แต่ Q4 ฟื้น
ด้าน "บมจ.ไทยออยล์ (TOP)" คาดไตรมาส 3/68 กำไรสุทธิ 1,920 ล้านบาท หดแรง -70.3% จากไตรมาสก่อนหน้า(q-q) ผลจากปิดซ่อมโรงกลั่น แต่พลิกจากขาดทุน 4,218 ล้านบาทจากปีก่อน
- โรงกลั่น การปิดซ่อม 1 เดือนทำให้กำลังการกลั่นหดเหลือ 80-85% จาก 113% ไตรมาสก่อน โดยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน, ดีเซลปรับขึ้น +1.8 และ +2.9 เหรียญต่อบาร์เรล q-q แต่หาก crude premium เพิ่มขึ้น +0.30 เหรียญต่อบาร์เรล และยังต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายน้ำมันรั่ว 0.5 เหรียญทำให้ GRM หดตัวลงมาเหลือ 3.5 เหรียญ จาก 5.2 เหรียญต่อบาร์เรล
- อะโรเมติกส์ กำลังการผลิตลดลงเหลือ 39% ขณะที่ LAB ลดลงเหลือ 64% จากการปิดซ่อมพร้อมโรงกลั่น ขณะที่ GIM อยู่ที่ราว 1 เหรียญต่อบาร์เรล ทรงตัว q-q เนื่องจากส่วนต่าง PX เพิ่มขึ้น และ TOP มีสัดส่วนการขาย PX ราว 75%
- LUBE การใช้กำลังการผลิตหดเหลือ 54% แต่จากราคา HSFO ที่ลดลง คาดจะทำให้ GIM เพิ่มเป็น 1.1 เหรียญต่อบาร์เรล
รวม 3 ธุรกิจ คาด GIM อยู่ที่ 5.5 เหรียญต่อบาร์เรล แต่จากการปิดซ่อมโรงกลั่นคาดว่าค่าใช้จ่ายดำเนินงานจะเพิ่มเป็น 3.4 เหรียญต่อบาร์เรล จาก 2.2 เหรียญต่อบาร์เรล และหากรวมในส่วนดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อมราคาจะอยู่ที่ 6.2 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้มีผลขาดทุนราว 0.7 เหรียญต่อบาร์เรล
รายการพิเศษ : คาดการดำเนินงานปกติจะมีผลขาดทุนอยู่ที่ -969 ล้านบาท แต่คาดจะมีรายการพิเศษ +2,599 ล้านบาท ประกอบด้วย กำไรจากสต็อก 1,389 ล้านบาท, กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ 1,200 ล้านบาท, กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 300 ล้านบาท แต่จะมีขาดทุนจากการปรับมูลค่า -200 ล้านบาท และขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง -90 ล้านบาท ทำให้บรรทัดสุดท้ายจะมีกำไรที่ 1,920 ล้านบาท
แนวโน้ม GRM คาดฟื้นตัวตามส่วนต่างราคาที่ดีขึ้น จากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปรับขึ้นราว 4-5 เหรียญต่อบาร์เรล และในส่วนโรงกลั่นเริ่มกลับมาผลิตตามปกติอีกครั้ง ทำให้คาดว่าการดำเนินงานจะดีขึ้น q-q ซึ่งต้องรอติดตามแนวโน้มส่วนต่างราคาจะยังอยู่ในระดับนี้ต่อได้หรือไม่
เริ่มเข้าสู่กระบวนการ Asset monetization : ส่วนการบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Monetization) TOP จะดำเนินการให้เช่าระยะยาวและเช่าช่วงทรัพย์สินกลับเพื่อใช้ในการดำเนินงาน (Lease and Leaseback) ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนของ TOP (ได้แก่ถังเก็บน้ำมันดิบ, ทุ่นผูกเรือกลางทะเล (Single Buoy Mooring: SBM), สถานีจ่ายน้ำมันทางรถและที่ดิน)
โดย TOP จะเช่าช่วงทรัพย์สินกลับตามสัญญาเช่าระยะยาวจากบริษัทย่อยใหม่ที่จัดตั้งขึ้น โดย TOP จะถือหุ้น 51% ส่วน บจ. พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล (PTT Tank) จะถือหุ้น 49% ทำให้ TOP ยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน โดยจะทำสัญญาเช่า 21 ปี ได้ค่าตอบแทนสิทธิการเช่าเป็นจำนวนเงิน 37,402 ล้านบาท แต่เนื่องจากถือหุ้นเพียง 51% จะได้เงินสดกลับไป 18,230 ล้านบาท
ผลลัพธ์หลังจากนี้ TOP จะนำเงินที่ได้ไปคืนหนี้เพื่อลดอัตราหนี้สินต่อทุนลง ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงราว 650 ล้านบาทต่อปี และทำให้ net debt/EBITDA จะลดลงไม่เกิน 6x และทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงราว 650 ล้านบาทต่อปี แต่จะมีการจ่ายค่าเช่า 9,772 ล้านบาทต่อ 3 ปี และมีการปรับค่าเช่าขึ้น 2% ทุกๆ 3ปี
ขณะที่เงินปันผลจากบริษัทใหม่คาดอยู่ราว 1,100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะประหยัดภาษีได้ราว 670 ล้านบาทต่อปี สุทธิกระแสเงินสดออกราว 600 ล้านบาทต่อปี หรือราว 0.20 เซนต์ต่อบาร์เรล
"แม้ TOP กำไรสุทธิจะหดตัว q-q จากการปิดซ่อมตามแผน แต่ตลาดเริ่มมีความหวังมากขึ้นต่อการทำ asset monetization ของกลุ่มที่มีความชัดเจนมากขึ้นและคาดจะยังมีอีกหลังจากนี้เพื่อทำให้ภาระหนี้ลดลง ส่วนโครงการ CFP แม้ยังไม่สรุปผลแต่เห็นพัฒนาการเพิ่มขึ้น กลยุทธ์เล่นรอบตาม GRM ฟื้นตัว ราคาน้ำมันดิบที่เหวี่ยงไปมา และความชัดเจนมากขึ้นใน CFP"


