"เชอร์รี่ อุมาพร" เปิดมุมคิดชีวิต-ทำงานแบบ Family DNA ใส่ใจทุกรายละเอียด
จากแรงกดดันสู่แรงผลักดัน "เชอร์รี่" ทายาทธัญลักษณ์ภาคย์ ถ่ายทอดเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ ความท้าทาย และปรัชญาการทำงานที่เชื่อว่า "ทุกดีเทลมีความหมาย" พร้อมเปิดมุมคิดการบาลานซ์ระหว่างบทบาทแม่–ผู้บริหาร และบทเรียนจากคำสอนของครอบครัวที่หล่อหลอมให้เธอก้าวสู่การเป็นผู้นำรุ่นใหม่ในธุรกิจอสังหาฯอย่างแข็งแกร่ง ด้วยหัวใจที่อบอุ่น
KEY
POINTS
- จากแรงกดดันสู่แรงผลักดัน "เชอร์รี่" ทายาทธัญลักษณ์ภาคย์ ถ่ายทอดเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ ความท้าทาย
- และปรัชญาการทำงานที่เชื่อว่า "ทุกดีเทลมีความหมาย" พร้อมเปิดมุมคิดการบาลานซ์ระหว่างบทบาทแม่-ผู้บริหาร
- บทเรียนจากคำสอนครอบครัวหล่อหลอมให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำรุ่นใหม่ในธุรกิจอสังหาฯอย่างแข็งแกร่ง ด้วยหัวใจที่อบอุ่น
รู้จักตัวตน "อุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์"
"เชอร์รี่" อุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์ มาร์เก็ตติ้งคนเก่งของพี่สาวคนแกร่ง "ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์" ที่วัยห่างกันราว 10 ปี ลูกสาวคนที่ 2 ของบ้านธัญลักษณ์ภาคย์ ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ อย่าง "บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA"
ปัจจุบันคุณเชอร์รี่ดำรงตำแหน่ง กรรมการ และดูแลงานด้าน Corporate Marketing & Branding เสนาดีเวลลอปเม้นท์ และทำงานมากว่า 15 ปี
แต่กว่าที่จะยืนในจุดนี้ คุณเชอร์รี่เล่าให้ฟังว่าหลังจากจบการศึกษาเธอได้ฝึกงานและทำงานกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นการเรียนรู้นอกตำราที่แท้จริง จากตำแหน่ง Marketing Officer เป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆที่ต้องทำทุกอย่าง
ที่แห่งนั้นเปรียบเหมือน "โรงเรียนชั้นดี" ที่สอนอะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องการทำงานที่ต้องเป็นเซลล์ขายของด้วยตนเองทุกวัน เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรที่สร้างบุคคลากรที่มี DNA เดียวกัน นั่นคือ รักและทุ่มเทการทำงานให้บริษัท
หัวใจสำคัญของการทำงานฝึกงาน คือ การรู้จักลูกค้าเป็นสำคัญ ต้องรู้จักเซอร์เวย์และเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า ดังนั้นหลังจากฝึกงานเสร็จเรียบร้อยจึงกลับมาทำงานที่เสนาฯ พร้อมนำองค์ความรู้มาปรับใช้และพัฒนาสินค้า พัฒนาการตลาดในทุกมิติ
Detail matter คือหัวใจสำคัญ
ในการทำงานและการตัดสินใจ เธอยึดหลักว่า "ใส่ใจทุกรายละเอียด" หรือ Detail matter เพราะรายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ ทุกอย่างที่ทำจะต้องมีที่มาที่ไป มีหลักการคิดเสมอ และการตัดสินใจทุกครั้งต้องมีข้อมูลมาสนับสนุนในทุกมิติ ไม่ใช่ตัดสินใจจากความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
เสนาฯเป็นองค์กรที่มี DNA เป็น Family Business เราทำงานกันแบบครอบครัว การบริหารที่ดียังรวมถึงการ "Put the right man in the right job" เลือกคนให้ถูกกับงาน วางคนให้เหมาะสมกับงาน โดยเธอถนัดในสายงานที่เกี่ยวกับ Marketing การสื่อสาร และงานดีไซน์ ดังนั้นพี่สาวจึงมอบหมายหน้าที่นี้เพื่อจะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
จงกล้าที่จะก้าวและเปิดโลกให้กว้างขึ้น
เมื่อถูกถามว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ อยากบอกอะไรกับตัวเองในอดีต ? เธอตอบว่า อยากบอกให้ตัวเอง "เปิดโลกให้กว้างกว่านี้" และ "กล้ากว่านี้"
เธอรู้สึกว่าในอดีตอาจจะมีความกลัวและกังวลมากเกินไป ถ้าหากเธอกล้าคิด กล้าทำมากกว่านี้ อาจจะนำความรู้ใหม่ๆกลับมาช่วยบริษัทได้มากกว่าที่เป็นอยู่
ส่วนในปัจจุบัน สิ่งที่บอกตนเองเสมอคือ "เก่งแล้ว ทำดีแล้ว" แต่ก็ต้อง "เก่งมากขึ้น พัฒนาเพิ่มขึ้น"
เธอย้ำว่า การทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การอ่านหนังสือหรือท่องเว็บไซต์อย่างเดียวไม่พอ นักการตลาดต้อง "ออกไปข้างนอก" เพื่อทำความรู้จักลูกค้า เข้าใจไลฟ์สไตล์ของพวกเขา การเดินตลาดนัด หรือแม้แต่การเดินในร้าน Gift Shop สามารถเปิดโลกและเผยให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้า อย่าง Gen Z ที่ฉลาดกว่าที่คิดและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดห้องตัวอย่างได้
แม้จะเป็นลูกเจ้าของธุรกิจ แต่คำว่า "หยุด" ไม่มีจริง เพื่อรักษาสมดุลชีวิตในช่วงเวลาที่ลูกยังเล็กและต้องการเวลามากที่สุด ในช่วง 1-7 ขวบ จึงได้กำหนดกฎเหล็กให้กับตัวเองว่า ต้องออกจากออฟฟิศให้เร็วขึ้น ประมาณ 4-5 โมงเย็น เพื่อกลับไปใช้เวลากับลูกอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนที่ลูกจะเข้านอน
หลักคิดและความท้าทาย
คติที่สำคัญที่สุดที่คุณพ่อสอนมาคือ "ชกให้ครบ 10 ยก" หมายความว่า เราต้องพยายามทำทุกอย่างให้ถึงที่สุดก่อนเสมอ หากคุณมั่นใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว แต่ผลลัพธ์คือความพ่ายแพ้ ก็ค่อยว่ากัน เพราะจะทำให้เราไม่เสียใจในภายหลัง
นอกจากนี้ ยังมีคำสอนที่พี่สาวได้สอนไว้เสริมกัน คือ ก่อนจะเริ่มต้นทำอะไร คุณต้องมั่นใจว่าคุณได้คิดถึง Scenario ที่แย่ที่สุด และยอมรับกับสถานการณ์นั้นได้ด้วย ซึ่งบทเรียนทั้งสองข้อนี้รวมกันเป็นสิ่งที่เธอจำและยึดถืออยู่ทุกวันนี้
การก้าวเข้ามาสู่บทบาทของผู้บริหารที่เสนาฯเป็นทั้งความเครียดและความท้าทายอย่างแน่นอน ซึ่งความท้าทายนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าไม่มีความท้าทาย ชีวิตจะไม่เติบโต
นอกจากความท้าทายจากงานแล้ว เธอยอมรับว่าในอดีตเคยมีความกดดันในตนเองอย่างมาก เนื่องจากเธอมักเปรียบเทียบตนเองกับพี่น้องมาโดยตลอด ด้วยความแตกต่างทั้งตัวตน ความชอบ การเรียน ที่ตอนนั้นรู้สึกกดดันตนเองว่าแตกต่างจากพี่น้องที่เป็นสายไฟแนนซ์และวิศวะ
ดังนั้นเมื่อเริ่มทำงานช่วงแรกเธอรู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีพอ ต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็ว เธอต้องต่อสู้กับการเปรียบเทียบและแรงกดดันภายในตนเองมาเป็นเวลานาน
จนกระทั่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เธอพยายามเปลี่ยนทัศนคติ (Mindset) และหาวิธีการต่างๆเพื่อปลดล็อกความเครียดสะสมนี้จนสามารถทลายกรอบที่ปิดกั้นรอบตัวออกมาได้ในที่สุด ทำให้ทุกวันนี้เธอนอนหลับได้ดีขึ้นและมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีขึ้นมาก ตลอดจนการทำงานสนุกขึ้นและมีผลงานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"สิ่งที่เธออยากจะบอกคุณพ่อ คือ อยากให้ท่านรักษาสุขภาพ และปรับเวลาการทำงานให้ลดลงบ้าง เนื่องจากท่านทำงานหนักมาก และมีเวลานอนน้อย ส่วนพี่สาวและน้องสาวอยากให้พักผ่อนมากๆเช่นกัน และอยากบอกตนเองว่าใช้ชีวิตได้ดีแล้ว อะไรที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนที่จะทำให้อนาคตเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้น."


