DELTA ถล่มดัชนีดิ่งหนัก! ความเสี่ยงรอบใหญ่ หรือ โอกาสซื้อรอบใหม่ ?
พังทั้งกระดาน! แรงเทขายถาโถม "DELTA" ดิ่งกว่า 20 บาท หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ชักธงแดง "มาตรการกำกับระดับ 1" บังคับซื้อเงินสด 100% สะเทือนทั้งระบบ มาร์เก็ตแคปหาย 4.5 พันล้านบาท ฉุดดัชนีดิ่งกว่า 26 จุด โบรกอ่านเกมผลประกอบการครึ่งปีหลังแกร่ง ลุ้นอัพเป้ากำไรโตแรง
KEY
POINTS
- พังทั้งกระดาน! แรงเทขายถาโถม "DELTA" ดิ่งกว่า 20 บาท หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ชักธงแดง "มาตรการกำกับระดับ 1" บังคับซื้อเงินสด 100%
- สะเทือนทั้งระบบ มาร์เก็ตแคปหาย 4.5 พันล้านบาท ฉุดดัชนีดิ่งกว่า 26 จุด
- โบรกอ่านเกมผลประกอบการครึ่งปีหลังแกร่ง ลุ้นอัพเป้ากำไรโตแรง
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่ต่างจาก "สนามรบกลางพายุ" เมื่อแรงเทขายจากหุ้นแม่เหล็กแห่งวงการเทคโนโลยี "บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA" ดิ่งหนักกว่า 20 บาท
หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศให้ติด Trading Alert ระดับ 1 หรือ เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 นักลงทุนต้องซื้อด้วยเงินสด 100% และห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย ตั้งแต่ 10 ตุลาคม 2568 ฉุดดัชนีร่วงหนัก 26.84 จุด แตะ 1,287.15 จุด คิดเป็น -2.04% มูลค่าการซื้อขาย 17,685.39 จุด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก!
DELTA เคยถูกขึ้นเครื่องหมายนี้มาแล้ว 10 ครั้ง ส่วนใหญ่ราคาจะปรับตัวลดลงในช่วงที่ขึ้นเครื่องหมาย โดยครั้งล่าสุดเดือน พ.ย.2567 ราคาหุ้นปิดลบ 16% ในวันแรกหลังถูกประกาศให้ติด T1
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
เหตุจาก ราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้น DELTA ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง ด้วย P/E และ P/BV ที่สูงถึง 135.49 และ 29.32 เท่าตามลำดับ จนอาจมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขายโดยรวมของตลาด ดังนี้
- ราคาปิดปรับตัวสูงเป็น new high ที่ 197.50 บาท โดยขึ้นไปสูงสุดในวันที่ 201 บาท
- มูลค่าการซื้อขายที่ 4,514 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องหลายวันที่ผ่านมา โดยในวันที่ 9 ตุลาคม 2568 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) คิดเป็น 14.87% ของ SET Market Cap และกระทบต่อดัชนี 5.9 จุด
- P/E และ P/BV อยู่ที่ 135.49 และ 29.32 เท่าตามลำดับ
- โดยบริษัทได้ชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ว่า จากการที่สภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนั้น บริษัทยังมิได้มีพัฒนาการสำคัญใดที่ยังไม่ได้เปิดเผยที่อาจจะกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของราคา
ร่วงหนักแบบนี้.. ความเสี่ยง หรือ โอกาส ?
DELTA ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการระบบกำลังไฟฟ้า (Power management solutions) รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท ได้แก่ พัดลมอิเล็กทรอนิกส์ (DC Fan) อีเอ็มไอ ฟิลเตอร์ (EMI) และโซลินอยด์ มีฐานการผลิตอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ เอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดผลประกอบการงวดไตรมาส 3/68 DELTA จะมีกำไรสุทธิที่ 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หนุนจากยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เป็น 1.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (+12% QoQ,+23% YoY) หรือ 4.8 หมื่นล้านบาท (+10% QoQ, +13% YoY) โดยเฉพาะสินค้าเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง
บวกกับ อัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 27.7% จาก 25% ในไตรมาส 2/68 ตามสัดส่วนการขายสินค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ที่สร้างมาร์จิ้นสูง และ ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายพิเศษเป็นจำนวนสูงอย่างในไตรมาสก่อนหน้า ที่มีค่าใช้จ่ายในการยุติข้อพิพาททางคดีความในสหรัฐ, การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญ และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
หากกำไรในไตรมาส 3/68 ออกมาอย่างคาด จะทำให้ภาพรวมกำไรช่วง 9 เดือน 2568 มีสัดส่วนราว 78% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 2568 ของเราที่ 2 หมื่นล้านบาท
ยอดขายและมาร์จิ้นยังมีแนวโน้มเติบโตดีต่อไปอีกในไตรมาส 4/68จากความต้องการสินค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยังมีอยู่มาก ซึ่งอาจถูกหักล้างไปบ้างจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของค่าลิขสิทธิที่ต้องจ่ายให้ บ.แม่ (เดลต้า ไต้หวัน) มากขึ้น ตามปริมาณงานโครงงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีจาก บ.แม่ ซึ่งจะมีเข้ามามากขึ้น ดังนั้นการเติบโตของกำไร QoQ ในไตรมาส 4/68 เป็นสิ่งท้าทาย แต่ยังเชื่อว่าจะโตได้แรง YoY จากฐานต่ำในปีก่อน
ฝ่ายวิจัยต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 68-69 ขึ้นจากเดิมเฉลี่ยราว 11% และได้ปรับ PER ขึ้นจากเดิมที่ 52.1 เท่า (-1.0 S.D) เป็น 77.1 เท่า (+1.0 S.D) เพื่อสะท้อนกำไรที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังปี2568 และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 69 ที่ 175 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นจากเดิม Underperform เป็น Neutral.


