ย้อนสถิติ 5 ปี CPF “ซื้อหุ้นคืน” ก่อนทุ่ม 8,000 ล้าน ลุยต่อ 350 ล้านหุ้น
เปิดสถิติ 5 ปี CPF “ซื้อหุ้นคืน” 3 ครั้ง ก่อนประกาศรอบล่าสุด ทุ่มงบ 8,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืน 350 ล้านหุ้น ระหว่าง 8 ต.ค.68-7 เม.ย.69 บริหารสภาพคล่องส่วนเกินเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น
KEY
POINTS
- บอร์ด CPF อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่ วงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท จำนวน 350 ล้านหุ้น บริหารสภาพคล่องเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น
- โครงการซื้อหุ้นคืนครั้งล่าสุดมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2568 ถึง 7 เมษายน 2569
- การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา CPF ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนมาแล้ว 3 ครั้ง
- ราคาหุ้น CPF บวก 1.79% ตอบรับโครงการซื้อหุ้นคืน โบรกฯ ประเมิน net IBD/E เพิ่มขึ้นเป็น 1.65 เท่า จากเดิม 1.62 เท่า
การซื้อหุ้นคืน ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อการบริหารสภาพคล่องของบริษัทจดทะเบียนในกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น และบริษัทมีกำไรสะสมและสภาพคล่องทางการเงินสูงกว่าความต้องการใช้ดำเนินธุรกิจในช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 หลายบริษัทได้มีการประกาศซื้อหุ้นคืน ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น (Shareholder returns) โดยการบริหารทางการเงินให้เกิดประสิทธิผล ในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน 350 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.16% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด ด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.2568-7 เม.ย.2569
เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น (Shareholder returns) ด้วยการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินให้เกิดประสิทธิผล
สำหรับผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อผู้ถือหุ้น จะเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นจากการลดลงของจํานวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากการซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ดีขึ้น รวมทั้งผู้ถือหุ้นยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นที่สูงขึ้น
ส่วนผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อบริษัทนั้น จะสามารถบริหารโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากบริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ได้ระบุได้ทั้งหมด เมื่อสิ้นสุดโครงการการซื้อหุ้นคืน มูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทก็จะลดลงเป็นจำนวนเท่ากับวงเงินดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกของ CPF ย้อนกลับไป 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2563 พบว่า CPF ประกาศซื้อหุ้นคืน จำนวน 3 ครั้ง (ไม่รวมครั้งล่าสุด) ประกอบด้วย
ปี 2563
- วงเงินซื้อหุ้นคืน : 10,000 ล้านบาท
- จำนวนหุ้นที่ซื้อคืน : 400 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
- ระยะเวลา : 1 เม.ย.-30 ก.ย.2563
- สิ้นสุดโครงการ : ซื้อหุ้นคืนรวม 197,673,800 หุ้น คิดเป็น 2.30% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
- มูลค่ารวมที่ซื้อคืน : 6,084.50 ล้านบาท
ปี 2564
- วงเงินซื้อหุ้นคืน : 10,000 ล้านบาท
- จำนวนหุ้นที่ซื้อคืน : 400 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
- ระยะเวลา : 15 ต.ค.2564-14 เม.ย.2565
- สิ้นสุดโครงการ : ซื้อหุ้นคืนรวม 6,606,000 หุ้น คิดเป็น 0.08% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
- มูลค่ารวมที่ซื้อคืน : 156.40 ล้านบาท
ปี 2565
- วงเงินซื้อหุ้นคืน : 5,000 ล้านบาท
- จำนวนหุ้นที่ซื้อคืน : 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.32% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
- ระยะเวลา : 19 ธ.ค.2565-18 มิ.ย.2566
- สิ้นสุดโครงการ : ซื้อหุ้นคืนรวม 163,901,800 หุ้น คิดเป็น 1.90% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
- มูลค่ารวมที่ซื้อคืน : 3,507.93 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น วันนี้ (3 ต.ค.2568) ล่าสุด ปิดช่วงเช้า เวลา 12.30 น. CPF เพิ่มขึ้น 1.79% หรือเพิ่มขึ้น 0.40 บาท มาอยู่ที่ 22.70 บาท ราคาปรับตัวขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 22.90 บาท และปรับตัวลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 22.60 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 520.54 ล้านบาท
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า การที่ CPF ประกาศเพิ่มวงเงินซื้อหุ้นคืนจะช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้น รองรับแรงกดดันระยะสั้นจากราคาหมูในประเทศที่ลดลงมาอยู่ที่ 52-54 บาท/กิโลกรัม ณ ปัจจุบัน (ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าต้นทุนผู้ประกอบการรายใหญ่) โดยหาก CPF มีการซื้อหุ้นคืนทั้งหมด 8,000 ล้านบาท ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมี net IBD/E เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.65 เท่า จากเดิม 1.62 เท่า


