ITC หุ้นอาหารสัตว์เลี้ยง มีดีอะไร? เปิดเกมพรีเมียม สู้ศึกบาทแข็ง-ภาษีสหรัฐ
5 โบรกเกอร์มองแรง! "ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC)" พลิกเกมอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม ฝ่าแรงกดดันภาษี-บาทแข็ง เดินหมากธุรกิจด้วยกลยุทธ์ "สินค้าพรีเมียม-นวัตกรรมใหม่-ขยายฐานลูกค้า" สร้างโอกาสตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตระยะยาว
KEY
POINTS
- 5 โบรกเกอร์มองแรง! "ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC)" พลิกเกมอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม ฝ่าแรงกดดันภาษี-บาทแข็ง
- เดินหมากธุรกิจด้วยกลยุทธ์ "สินค้าพรีเมียม-นวัตกรรมใหม่-ขยายฐานลูกค้า"
- สร้างโอกาสตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตระยะยาว
เมื่อ "ทาสหมา-แมว" กระเป๋าแฟบ! เริ่มแผนรัดเข็มขัดทำกำลังซื้อหดหาย สะเทือนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกหนักหน่วง ปัจจัยลบรายล้อมไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจที่ยังซบเซา ค่าเงินบาทแข็ง ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% ต้นทุนการผลิตพุ่ง การแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้การเดินหน้าธุรกิจไม่ง่ายเหมือนเดิม
ท่ามกลางพายุนี้ ยักษ์ใหญ่ "บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC" หุ้นร้อนแห่งวงการอาหารสัตว์เลี้ยง ต้องเร่งปรับเกมใหม่ หันมาเดินหมาก สินค้าพรีเมียมและกลยุทธ์ยั่งยืน เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างการเติบโตระยะยาว แม้เส้นทางข้างหน้าจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ตาม
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ITC ปิดการซื้อขายในช่วงเช้าวันนี้ (29 ก.ย.68) อยู่ที่ 15.70 บาท ลดลง 0.20 บาท คิดเป็น -1.26% มูลค่าการซื้อขาย 43.40 ล้านบาท ราคาขึ้นสูงสุด 16.00 บาท และลดลงต่ำสุด 15.50 บาท
5 โบรกผ่าอนาคต-ส่องกำไร Q3/68
"นารี อภิเศวตกานต์" นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ คาดไตรมาส 3/68 ของ ITC ธุรกิจรับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง กำไรปกติ 724 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน(y-y) แต่เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า(q-q)
แต่คาดจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งค่าทำให้บรรทัดสุดท้ายมีกำไรสุทธิ 729 ล้านบาท หดตัว -25% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน(y-y) แต่ขยายตัวได้ 5% จากไตรมาสก่อนหน้า(q-q)
ยอดขายรวมได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า 2.5% q-q และเริ่มมีผลบังคับใช้ภาษีนำเข้า 19% ไปยังสหรัฐ ทำให้ปริมาณขายจึงทำได้แค่ทรงตัว แต่ได้ส่วนช่วยจากสัดส่วนการขายสินค้ากลุ่ม Premium ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50% จากไตรมาส 2/68 ที่มีสัดส่วน 46.3% จากการได้มาซึ่งคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าใหม่ที่จะทยอยส่งมอบในช่วงครึ่งหลังปี68
อย่างไรก็ดียอดขายถูกทอนจากการช่วยเหลือลูกค้าจากอัตราภาษีเพิ่มขึ้นคาดยอดขายโต เพียง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 4,613 ล้านบาท
อัตรากำไรขั้นต้น ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 25% แต่หดตัวจาก 29.8% ในไตรมาส 3/67 เนื่องจากปีก่อนได้ผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่า และสัดส่วนการขายสินค้ากลุ่ม Premium สูง และมีกลับรายการสำรองสินค้าคงคลัง
ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้าที่ 10.1% อัตราภาษีจ่ายคาดใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้าที่ 8.5% ลูกค้าทยอยปรับราคาขายในสหรัฐ ด้วยภาษีนำเข้าสหรัฐที่เพิ่มขึ้นทำให้ลูกค้าเริ่มทยอยปรับราคาขายขึ้นเพื่อลดผลกระทบ
ขณะที่ ITC กันเงินไว้สนับสนุนลูกค้าบางส่วนแล้วทำให้ ITC ได้ออร์เดอร์จากลูกค้าอื่นเข้ามาเพิ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนในปี 2569 การสนับสนุนต่อลูกค้ายังดำเนินต่อไปแต่จะร่วมมือกับลูกค้าในการลดต้นทุนการผลิตเพื่อความยั่งยืน
"แม้อัตราภาษีอาจส่งผลต่อ volume การขายบ้าง แต่เริ่มเห็นการปรับตัวของลูกค้าเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ขณะที่ ITC มีการสนับสนุนลูกค้าบางส่วนทำให้ได้ลูกค้าอื่นมาเพิ่ม นอกจากการหาลูกค้ารายใหม่ๆ พร้อมการพัฒนาสินค้าใหม่ไปด้วยกันซึ่งเริ่มส่งผลในครึ่งปีหลังยังชอบเหมือนเดิม แม้ปริมาณส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาจะหด -5.6% จากปีก่อน และลดลง -11%จากเดือนก่อนหน้า แต่ยอดขาย ITC ยังดีกว่าอุตสาหกรรมจากการได้ลูกค้าใหม่มาเพิ่ม คงแนะนำซื้อ จากโมเมนตัมยังดีต่อ"
สินค้าพรีเมียมหนุน
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 18.70 บาท คาดว่า ITC จะมีกำไรปกติในไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 745 ล้านบาท ลดลง 27.6% จาช่วงเดียวกันของปีก่อน(yoy) แต่เพิ่มขึ้น 4.6% จากไตรมาสก่อนหน้า(qoq) รายได้ของ ITC คาดว่าจะเติบโต 7% yoy และ 6% qoq โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินค้ากลุ่มพรีเมียม แม้จะเผชิญแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนและมาตรการภาษีนำเข้า
กำไรในช่วงครึ่งหลังปี68 คาดว่าจะยังคงมีโมเมนตัมเชิงบวกเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยแรงกดดันต่อราคาหุ้นจากความกังวลเรื่องภาษีของสหรัฐฯเริ่มคลี่คลาย แม้ว่าฝ่ายวิเคราะห์ยังติดตามปริมาณคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด เนื่องจากลูกค้าบางรายมีการปรับราคาตั้งแต่ไตรมาส 4/68 เป็นต้นไป
กำไรโค้ง 3 เพิ่มขึ้น
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรปกติไตรมาส 3/68 ที่ 730 ล้านบาท ลดลง 29% YoY และเพิ่มขึ้น 3% QoQ ใกล้เคียงกรอบที่ประเมินเบื้องต้น มีปัจจัยสำคัญดังนี้
- รายได้โตเล็กน้อย 4% YoY และเพิ่มขึ้น 3% QoQ จากปัจจัยฤดูกาลและการขยายผลิตภัณฑ์และลูกค้าใหม่ แต่ถูก offset บางส่วนจากบาทแข็งและการเริ่มให้ tariff support กับลูกค้า โดยเฉพาะการให้ส่วนลด
- GPM ลดลง -480bps YoY จากบาทแข็ง และทรงตัวได้ QoQ จากสัดส่วนสินค้า premium มากขึ้น
- SG&A/Sale ยังอยู่ในระดับสูงที่ 10% จากค่าใช้จ่ายผันแปรจากการลงทุน transformation
คงกำไรปกติปี 2568 ที่ 2.8 พันล้านบาท ลดลง 26% YoY สำหรับไตรมาส 4/68 เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติจะอ่อนตัวต่อเนื่อง YoY แต่ดีขึ้นเล็กน้อย QoQ จาก high season แต่อาจถูกชดเชยบางส่วนจากการให้ tariff support มากขึ้น และกำลังซื้อมีโอกาสลดลงจากการปรับราคาขึ้น
ดังนั้นคงคำแนะนำถือ แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 17 บาท เดิม 14 บาท โดยปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2569 และปรับ PER ขึ้นเล็กน้อยเป็น 17 เท่า ลดลง -0.5SD below 3-yr average PER จากเดิม 15 เท่า หรือลดลง -1SD จากกำไรปกติปี 2569 ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามคงมุมมองระมัดระวัง โดยยังต้องติดตามทิศทางกำลังซื้อผู้บริโภคที่อาจเห็นผลกระทบมากขึ้นหลังจากนี้
ภาษี 19% ไม่กระทบปริมาณขาย
บล.พาย คาดแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 3/68 เป็นไตรมาสแรกที่ลูกค้าจะรับภาระภาษีใหม่ คาดกำไรสุทธิ 747 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เทียบกับปีก่อนลดลงเพราะกำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าและค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาบริษัทที่เพิ่มขึ้น ส่วนเทียบกับไตรมาส 2/68 ดีขึ้นหลังสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Premium เพิ่มขึ้น
- รายได้คาดที่ 4,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนและเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อนหน้า เติบโตดีจากตลาดสหรัฐฯและยุโรปหลังจากมีการส่งสินค้าใหม่เพิ่ม ส่วนเทียบกับไตรมาส 2/68 ส่วนหนึ่งเกิดจากสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Premium ที่มากขึ้น ซึ่งมาชดเชยกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและการให้ส่วนลดแก่คู่ค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้น
- กำไรขั้นต้นคาดที่ 25% ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/68 แต่ลดลงจาก 30% ในไตรมาส 3/67 เพราะปีก่อนมีการบันทึกกลับสินค้าคงเหลือ ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดที่ 472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%จากปีก่อนและเพิ่มขึ้น 4%จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายค่าที่ปรึกษา
- ภาษีจ่ายที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปีก่อนและลดลง 4% จากไตรมาสก่อนหน้า เทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของมาตรการ GMT
- รวม 9 เดือนปี 68 คาดว่า ITC มีกำไรสุทธิ 2,119 ล้านบาท ลดลง -24% จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 71% ของกำไรทั้งปีประเมินไว้ที่ 2,991 ล้านบาท
ผลกระทบจากการใช้อัตราภาษีนำเข้าจากไทยที่เห็นมาตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/68 นั้นในแง่คำสั่งซื้อจากลูกค้ายังคงเข้ามาตามปกติเห็นได้จากปริมาณการขายในช่วงดังกล่าวยังเติบโตได้ เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนเทียบกับไตรมาส 2/68 ทรงตัว
อย่างไรก็ตามด้วยต้นทุนราคาของคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้ทาง ITC เองมีการให้ความช่วยเหลือคู่ค้าผ่านการให้ส่วนลดแล้ว ซึ่งจากการให้ส่วนลดดังกล่าวทำให้ลูกค้ามีการเตรียมให้ ITC เป็นผู้ผลิตสินค้าเพิ่มคาดว่าจะเห็นในช่วงปลายไตรมาส 4/68 นี้
สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ ITC มีการแสดงภาพแนวโน้มกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงจะเน้นไปที่สินค้าที่มีความคล้ายสินค้าของมนุษย์ (Mirror human food trends) และสินค้าที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นสินค้าที่ตรงกับที่ ITC ดำเนินการอยู่ ทำให้ผู้บริหารมองว่า ธุรกิจยังเติบโตได้ในอนาคต
"กำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 71% ของกำไรทั้งปี 68 ที่เราคาด ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/68 ในแง่รายได้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าใหม่ๆ แต่ในแง่กำไรขั้นต้นอาจจะต้องมาติดตามอีกครั้งเพราะ ITC มีการให้ส่วนลดแก่คู่ค้าที่อาจจะกระทบกับกำไรขั้นต้นได้ เบื้องต้นเราจึงยังคงกำไรทั้งปีไว้เท่าเดิมที่ 2,991 ล้านบาทก่อน และด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนมีส่วนต่างกับมูลค่าเหมาะสมปีนี้ที่เราประเมิน 16 บาท เพียง 1% เราจึงปรับลดคำแนะนำเป็นถือ"
Q4/68 กำไรพีคสุด
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรปกติในไตรมาส 3/68 ที่ 745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% จากไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) และ ลดลง 33.5% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน(YoY) สาเหตุที่เติบโต QoQ หนุนจาก Product mix ที่เป็นกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ชดเชยผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้ หนุน GPM ให้ยังทรงตัว QoQ
แนวโน้มไตรมาส 4/68 เบื้องต้นคาดเร่งตัวขึ้นต่อ QoQ กำระดับสูงสุดของปี จากปริมาณขายที่คาดเร่งตัวขึ้นระดับ 5 พันล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 3,050 ล้านบาท ลดลง 20.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และกลับมาเติบโต YoY ในปี 2569 ที่ 3,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% YoY
โดยปรับไปใช้ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2026 อิง PER ที่ 15.5 เท่า (-0.75 SD) ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 18.20 บาท คงคำแนะนำ TRADING เชิงกลยุทธ์ลงทุนเก็งกำไร แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี2568 ที่เติบโตจากครึ่งปีแรกสะท้อนการผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว.


