posttoday

PTT ปิดฉากซื้อหุ้นคืน 7,500 ล้าน! เกมต่อไปคือปันผล หรือ สตอรี่ EV - LNG ?

23 กันยายน 2568

"ปตท. (PTT)" จบดีลซื้อหุ้นคืนกว่า 238 ล้านหุ้น มูลค่า 7,548 ล้านบาท แม้ราคาหุ้นไม่พุ่งหวือหวา แต่ช่วยพยุงความเชื่อมั่นนักลงทุนท่ามกลางตลาดผันผวน พร้อมจับตาหลังหมดแรงหนุน Treasury Stock ราคาหุ้นจะยืนด้วย ปันผล–การลงทุนใหม่ หรือราคาน้ำมันโลก ?

KEY

POINTS

  • "ปตท. (PTT)" จบดีลซื้อหุ้นคืนกว่า 238 ล้านหุ้น มูลค่า 7,548 ล้านบาท
  • แม้ราคาหุ้นไม่พุ่งหวือหวา แต่ช่วยพยุงความเชื่อมั่นนักลงทุนท่ามกลางตลาดผันผวน
  • จับตาหลังหมดแรงหนุน Treasury Stock  ราคาหุ้นจะยืนด้วย ปันผล–ลงทุนใหม่ หรือ ราคาน้ำมันโลก ?

โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ของ "บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT" ที่เริ่มตั้งแต่ 24 มีนาคม และสิ้นสุดลงวันที่ 23 กันยายน 2568 ได้ปิดฉากอย่างเป็นทางการ ด้วยการซื้อสะสมรวม 238,660,400 หุ้น คิดเป็น 0.84% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด มูลค่ากว่า 7,548.89 ล้านบาท

จากวงเงินสูงสุดที่บอร์ดอนุมัติไว้ 16,000 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 1.65 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด แม้ตัวเลขไม่ถึงเป้า แต่การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้สะท้อน "ความเชื่อมั่น" ของผู้บริหารต่อมูลค่าหุ้น และช่วยสร้างฐานราคาให้ PTT ไม่ร่วงต่ำเกินไป

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTT จากที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหลังจากข่าวซื้อหุ้นคืนชัดเจน โดยทันทีที่ราคาหุ้น PTT เปิดซื้อขายในวันที่ 21 มี.ค.2568 วิ่งขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 32 บาท และปิดที่ 31.75 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท

ขณะที่ ราคาหุ้น PTT ปิดการซื้อขายวันนี้ (23 ก.ย.2568) อยู่ที่ 33 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,191.27 ล้านบาท ระหว่างวันขึ้นสูงสุด 33.25 บาท และลดลงต่ำสุด 32.75 บาท  

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 47.75 บาทและร่วงต่ำสุดที่ 23.20 บาท ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ปี 2563 

  • ปี 2564 ราคาหุ้นขึ้นสูงสุด 45 บาท ลดลงต่ำสุด 34 บาท 
  • ปี 2565 ราคาขึ้นสูงสุด 41.25 บาท ลดลงต่ำสุด 30.75 บาท
  • ปี 2566 ราคาขึ้นสูงสุด 36.50 บาท ลดลงต่ำสุด 29.50 บาท
  • ปี 2567 ราคาขึ้นสูงสุด 36.25 บาท ลดลงต่ำสุด 30.50 บาท
  • ต้นปี 2568 ถึงปัจจุบัน ราคาขึ้นสูงสุด 33.75 บาท ลดลงต่ำสุด 27 บาท

สิ่งที่น่าติดตามคือ "ตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องปตท.สามารถจําหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนได้ภายหลังพ้นกําหนด 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืน แต่ต้องไม่เกิน 3 ปี นับจากวันสิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว"

หากครบกําหนดระยะเวลาการจําหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว ปตท.ไม่สามารถจำหน่าย หรือจําหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนไม่หมด กฎหมายที่เกี่ยวข้องกําหนดให้ ปตท. ต้องดําเนินการลดทุนจดทะเบียนที่ชําระแล้ว

โดยวิธีการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนและยังไม่ได้จําหน่าย สําหรับการกําหนดระยะเวลาการจําหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. เพื่อพิจารณาอีกครั้งและจะแจ้งให้ทราบต่อไป

คำถามคือ หลังหมดมาตรการพยุงราคานี้แล้ว หุ้น PTT จะยืนด้วยอะไร ?

ต้องยอมรับว่า หุ้น PTT คือหนึ่งในหุ้นปันผลดี ล่าสุดในวันที่ 18 ก.ย.68 คณะกรรมการ ปตท. มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.68 และกำไรสะสม ในอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.90 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 1 ต.ค.68 และวันที่จ่ายปันผล 17 ต.ค.68

ปตท. จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องปีละ 2 ครั้ง ข้อมูลจาก SETSMART พบว่า

  • ปี 63 ปันผล 1.28 บาท
  • ปี 64 ปันผล 2.02 บาท
  • ปี 65 ปันผล 2.10 บาท
  • ปี 66 ปันผล 1.50 บาท
  • ปี 67 ปันผล 2.10 บาท

บล.กสิกรไทย คาดการณ์ PTT ปันผลปี 2568 ที่ 2.1 บาทต่อหุ้น ทรงตัวจากปีก่อน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 6.7% มองว่ามีโอกาสที่การจ่ายเงินปันผลจะสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศบางส่วนได้ขอให้ PTT เพิ่มอัตราตอบแทนเงินปันผลเป็น 8-9% ต่อปี เพื่อให้ PTT กลายเป็นหุ้นปันผลอย่างแท้จริง

มุมมองหลังจบแผนซื้อหุ้นคืน

1. สัญญาณความมั่นใจผู้บริหาร

  • การซื้อหุ้นคืนคือการส่งสัญญาณว่า "ผู้บริหารเชื่อว่าหุ้นถูก"
  • แม้ไม่ได้ทำให้ราคาพุ่งแรง แต่ช่วยสร้างฐานราคาไม่ให้หลุดจุดต่ำเกินไป

2. ผลต่อ EPS และมูลค่าหุ้น

  • จำนวนหุ้นลดลง ย่อมช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) ในเชิงบัญชี
  • นักลงทุนสถาบันและกองทุนต่างประเทศจะตีความเป็นบวกต่อ valuation

สตอรี่พยุงราคาหุ้น PTT ต่อจากนี้

1. พลังงานสะอาด – EV Ecosystem

  • PTT เดินหน้าลงทุนผ่านบริษัทลูก อรุณ พลัส และการร่วมทุนพัฒนา EV, Battery และ Charging Network
  • โครงการรถเมล์ EV ของ ขสมก. ที่มี “อรุณ พลัส” ร่วมชิง ยิ่งตอกย้ำ narrative ว่า PTT ไม่ใช่แค่ “น้ำมัน-ก๊าซ” แต่กำลัง repositioning เป็น Green Energy Leader

2. การลงทุนปิโตรเคมีและ LNG

  • PTT ยังคงเป็นแกนกลางความมั่นคงพลังงานของไทย โดยเฉพาะการนำเข้า LNG ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
  • แผนลงทุนโครงการปิโตรเคมีและโรงแยกก๊าซใหม่ จะเป็น story ระยะกลางที่ตลาดจับตา

3. ธุรกิจใหม่ Non-Oil

  • OR และ PTTGC เป็นแขนขาที่ต่อยอดธุรกิจค้าปลีก, เคมีภัณฑ์ และพลังงานสะอาด
  • Narrative กระจายความเสี่ยง ช่วยพยุงความเชื่อมั่นว่า PTT ไม่ได้ผูกกับราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว

4. การเมือง-นโยบายรัฐ

  • PTT เป็นรัฐวิสาหกิจเชิงกลยุทธ์ รัฐบาลต้องพึ่งพาในหลายมิติ ทั้งด้านพลังงาน, EV, และ Net Zero
  • หากรัฐบาลต้องการ "โชว์ผลงาน" ในการขับเคลื่อน Green Economy มีโอกาสที่ PTT จะถูกหนุนโครงการใหญ่ต่อเนื่อง

5. ราคาน้ำมันโลกและค่าการกลั่น (GRM)

  • ปัจจัยพื้นฐานระยะสั้นยังคงขึ้นกับราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่น
  • หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หรือมีปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์หนุน เช่น ตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันดีดกลับจะกลายเป็น tailwind ให้หุ้น PTT และกลุ่มโรงกลั่น

หลังจบโครงการซื้อหุ้นคืน หุ้น PTT อาจเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่ story ระยะกลางยังมีหลาย narrative รองรับ ได้แก่ EV Ecosystem – LNG & Petrochemical Expansion – Diversification Non-Oil – Political Backing – Oil Price Trend

กล่าวได้ว่า แม้ซื้อหุ้นคืนจะหมดบทบาทแล้ว แต่ PTT ยังมีหลายการ์ดในมือ ที่พร้อมถูกหยิบมาเล่นเพื่อพยุงความเชื่อมั่นและราคาหุ้นต่อไป


3 โบรกสแกนอนาคต ปตท.

บล.เคจีไอ แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย SoTP ครึ่งแรกปี 69 ที่ 35.00 บาท รัฐบาลใหม่กำลังเตรียมปรับโครงสร้างการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติด้วยการเปลี่ยนจากการใช้ Single Pool Gas ในปัจจุบัน มาใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Utility Model แทน เพื่อลดค่าครองชีพของครัวเรือนผ่านค่าไฟฟ้าที่ลดลง

ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าโครงสร้างการกำหนดราคาก๊าซแบบใหม่ Utility Model จะไม่สามารถใช้ทันในปีนี้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และยังต้องได้รับการอนุมัติให้ใช้โครงสร้างนี้จากคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ (NEPC) ก่อน

นอกจากนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบกับ PTT เพราะขึ้นอยู่กับ 1.ระดับของผลตอบแทนจากการลงทุนที่รัฐบาลจะกำหนดสำหรับการดำเนินกิจการโรงแยกก๊าซ และ 2.ความสามารถของ PTT ในการส่งผ่านต้นทุน LNG ต่อไปให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ใช้ก๊าซในภาคอุตสาหกรรมที่มีจำนวนนับร้อยราย

บล.ฟิลลิป แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 40 บาท ในระยะกลางและระยะยาวคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดมากขึ้นจากการทยอยดำเนินการตามกลยุทธ์แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและสร้างกำไรพิเศษให้บริษัท รวมถึงการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้คาดปันผลปี 68 ประมาณ 5-6%

บล.ทิสโก้ แนะนำ ถือ มูลค่าที่เหมาะสม 34 บาท ผู้บริหาร PTT คาดว่าการรวมสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อส่งน้ำมัน, ถังเก็บ และท่าเรือ จากบริษัทย่อยจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 3/68 และบางรายการจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีพ.ศ.2568 ถึงต้นปีพ.ศ.2569 การรวมสินทรัพย์ด้านพลังงานไฟฟ้าภายในกลุ่มกำหนดไว้ในปีพ.ศ.2573

อีกทั้งคาดว่าจะมีเงินสดไหลเข้า (cash inflow) จากการทำธุรกรรมด้านการแปรรูปสินทรัพย์(asset monetisation)ในระดับกลุ่มราว 38,000 ล้านบาทในปีพ.ศ.2568 และ 77,000 ล้านบาทในปีพ.ศ.2569 ครอบคลุมทั้งสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับไฮโดรคาร์บอน

นอกจากนี้ PTT กำลังปรับกลยุทธ์การลงทุนด้าน Life Sciences โดยมุ่งสู่รูปแบบที่พึ่งพาการระดมทุนด้วยตนเอง (self-funded model) และมีแผนระยะยาวที่จะพิจารณา IPO หลังปีพ.ศ.2573 เป็นต้นไป.

ข่าวล่าสุด

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X