ลุ้นทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่! ตลท.เตรียมผลักดัน "จั๊มพ์ พลัส" หนุนตลาดทุนโตต่อ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับตาทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ หวังเข้าใจบทบาทตลาดทุนในฐานะเครื่องมือระดมทุน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าโครงการ Jump+ หนุนบริษัทจดทะเบียนเติบโตยั่งยืน ชี้นักลงทุนไทย-ต่างชาติคุ้นชินการเมืองเปลี่ยน โฟกัสความชัดเจนนโยบายดึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
KEY
POINTS
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับตาทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ หวังเข้าใจบทบาทตลาดทุนในฐานะเครื่องมือระดมทุน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง
- พร้อมเดินหน้าโครงการ Jump+ หนุนบริษัทจดทะเบียนเติบโตยั่งยืน
- ชี้นักลงทุนไทย-ต่างชาติคุ้นชินการเมืองเปลี่ยน โฟกัสความชัดเจนนโยบายดึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า นักลงทุนชอบความชัดเจนทางการเมือง คาดหวังว่าจะได้นายกฯคนใหม่ พร้อมนโยบายชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้จากการพบปะพูดคุยกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา กลับพบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคยการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลกใหม่ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นภาพชัดคือโครงการต่างๆที่ได้นำเสนอไปนั้นถือว่าค่อนข้างดีแต่จะสามารถเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ นี่คือสิ่งที่นักงลงทุนโฟกัส
ถามว่า ความเสี่ยงที่อาจเลือกนายกฯไม่ได้จะส่งผลอย่างไร ?
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นักลงทุนถือว่าคุ้นเคยต่อการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
"ความไม่แน่นอนทางการเมืองตอนนี้เริ่มชัดมากขึ้น แต่จะเห็นว่าฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้ามาก่อนหน้านี้กก่อนที่จะมีความชัดเจน นั่นอาจเพราะบริษัทจดทะเบียนมีการฟื้นตัวที่ดี มีอนาคต อัพไซด์ดี มีปันผลน่าสนใจจึงเข้ามาลงทุน"
ถามว่า รมว.คลังคนใหม่ต้องเป็นอย่างไร ?
อยากให้เข้าใจเรา เข้าใจตลาดทุนดี เนื่องด้วยตลาดทุนเป็นเครื่องมือในการระดมทุน จึงคาดหวังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะเข้าใจและสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้
อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯพร้อมเสนอนโยบายที่ผลักดันก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะโครงการจั๊มพ์ พลัส (Jump+) ต่อ รมว.คลังคนใหม่พิจารณาเนื่องด้วยเชื่อมั่นว่าเป็นโครงการที่สร้างการเติบโตที่ดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและบริษัทจดทะเบียน โดยล่าสุดมีบริษัทจดทะเบียนไทยเข้าสมัครรวม 35 บริษัท ถือเป็นสัญญาณที่ดีและมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง
ส่วนโครงการ G-TOKEN จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น เบื้องต้นยังไม่มีความชัดเจน คงต้องให้รมว.คลังคนใหม่พิจารณา
อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์การเมืองที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้(5 ก.ย.68)เกิดความผันผวน ตลาดหลักทรัพย์ฯมีเครื่องมือที่พร้อมจะตั้งรับได้อย่างแน่นอน.
เกาะติดการเมืองชัด
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวว่า ตลาดทุนชอบความชัดเจนในทุกเรื่อง ดังนั้นการเมืองภาพเริ่มชัด การไม่ติดขัดด้านนโยบายต่างๆถือเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้งพรบ.งบประมาณผ่านพ้นไปแล้วจึงสามารถเดินหน้าผลักดันงบประมาณได้
สำหรับภาพรวมภาวะตลาดตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยเดือนสิงหาคม 2568 ได้รับแรงหนุนจากสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ส่งสัญญาณถึงโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน 2568
ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างชาติไหลออกจากทั้งตลาดพันธบัตรและหุ้นไทย ท่ามกลางส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของไทยและสหรัฐที่กว้างขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.50% ต่อปี ส่งผลให้ดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.5% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/2568 ปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
ภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของงาน Thailand Focus 2025 และผลตอบแทนหุ้น IPO ที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย.


