AOT เดินหน้าเข้ม! “คิง เพาเวอร์” จ่ายช้าเก็บดอกเบี้ย-เรียกแบงก์การันตีเพิ่ม

ภายใต้กระแสข่าว "บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT" อนุมัติให้ "บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด" เข้าร่วมโครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. ทั้ง 6 แห่งที่ขาดสภาพคล่อง ที่หลายฝ่ายตีความว่า AOT ยอมอ่อนข้อให้เอกชนรายใหญ่! 

ความกังวลถาโถมสะท้อนราคาหุ้น AOT ร่วงแรง 1 บาท อยู่ที่ 30.25 บาท คิดเป็น -3.20% จากราคาที่ลงไปแตะต่ำสุด 30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,012.91 ล้านบาท    

ไม่รอช้า! ทีมข่าวสอบถามความจริงไปยัง "นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์" รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผย "ข้อเท็จจริง" กับ "โพสต์ทูเดย์" ชี้ชัดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ทุกคนเข้าใจผิด" เพราะทุกข้อเรียกร้องจาก "คิง เพาเวอร์" ล้วนไม่ได้รับการยอมรับแบบไร้เงื่อนไข!

ตามที่ "คิง เพาเวอร์" เสนอข้อเรียกร้องโดยมีพารากราฟสุดท้ายเขียนมาว่า ข้อแรก คือ ขอยกเว้น Minimum Guarantee ไม่ออกใบแจ้งหนี้ (Invoice) และ ข้อสองคือ ขอจ่าย Revenue Sharing เท่ากับ 20% นี่คือสิ่งที่ "คิง เพาเวอร์" ร้องขอ 

แต่.. สิ่งที่ ทอท.เจรจาและดําเนินการปัจจุบันซึ่งผ่านการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วานนี้ (26 มิ.ย.2568) คือ ทาง ทอท.ไม่ยกเว้น Minimum Guarantee และออก invoice เหมือนเดิม หากทาง คิง เพาเวอร์ ไม่จ่ายจะเหมือนคู่ค้าปกติที่ชำระล่าช้า จะมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยตามมาตรการที่ดำเนินปกติ

ซึ่งทาง คิง เพาเวอร์ ออก  invoice พร้อมจ่ายประมาณ 50% ของใบแจ้งหนี้ ซึ่งคิงเพาเวอร์จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ทาง ทอท.รับทราบ แต่ที่เหลือคือดอกเบี้ย หมายความว่า ทอท. ทราบในเบื้องต้นว่าจะจ่ายจำนวนเท่าไหร่ ส่วนที่เหลือมีการเก็บดอกเบี้ย 

ต่อมาข้อ 2 เรื่อง  Revenue Sharing จ่าย 20% ทาง ทอท. บอกว่า ไม่ให้! จึงมีการเจรจากันไปมาจึงตกลงจ่าย Revenue Sharing 23% ซึ่งบวกกับที่จ่ายในตอนแรก ฉะนั้นส่วนต่างที่ ทอท.เก็บไป 1 เดือน ซึ่งปกติ invoice ใบแรกเปรียบเทียบ Revenue Sharing เท่าไหร่ ซึ่งปกติ invoice ตอนนี้ที่ออก Minimum Guarantee สูงกว่า Revenue Sharing 

"ฉะนั้นสิ่งที่ ทอท. กําลังดําเนินการปัจจุบันคือ ทำเหมือนเดิมตามสัญญา คือ ออก invoice เค้าจ่ายมาเบื้องต้นเท่าไหร่ 23% จ่ายมาออนท็อปที่เหลือที่ยังไม่จ่ายติดเป็นจ่ายล่าช้า และเก็บดอกเบี้ย ก็คือสัญญาณปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แถมที่คิง เพาเวอร์บอกว่าจะไม่จ่าย เขาก็จ่าย" 

ถามว่า.. ทำไม ทอท. เรียกแบงค์การันตีเพิ่ม ? 

ยืนยันว่าปัจจุบันแบงค์การันตีพอ แต่ ทอท. มองว่าทางคิงเพาเวอร์อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมในการที่จะไม่ชําระ ทอท.จึงขอเรียกแบงค์การันตีเพิ่ม ซึ่งทาง คิง เพาเวอร์ บอกว่าเข้าใจที่ก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่ AOT จะดำเนินการขอแบงค์การันตีมาให้เพิ่ม

"เราชนะทุกอัน เป็นประโยชน์ต่อ AOT ทุกประตู ซึ่งเราไม่เข้าใจว่า การสื่อสารมันผิดพลาดตรงไหน มันไม่ใช่ AOT ยอมให้เลื่อนชําระ มันเป็นเรื่องของมาตรการเก่าที่คุณจ่ายช้า คุณก็จ่ายปรับไป คุณจะจ่ายกี่เดือน เรื่องขยายเวลามันปกติใครก็ขยายได้ ทางนั้นแจ้งจะจ่าย เรารับทราบ คุณจ่ายช้า เราเก็บดอกเบี้ย อันนี้คือข้อเท็จจริง"

กระบวนการดำเนินงานจากนี้คืออะไร ?

ทอท. อยู่ระหว่างเจรจากับ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย และอยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขเป็นไปตามการจัดซื้อจัดจ้างของมหาวิทยาลัยที่สามารถดำเนินการได้เลย คาดว่าจะชัดเจนภายในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้เพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT โดยเร็ว

โดยที่ปรึกษาจะศึกษาประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยคาดว่าจะได้ข้อมสรุปใน 60 วัน ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาต่อไป

"ถ้าเปรียบการเจรจาดั่งมวยขึ้นชกบนเวที ทาง คิง เพาเวอร์ ยอมเราทุกด้าน แผนที่เราวางไว้ยังดำเนินต่อไปไม่มีหลุดจาดกรอบเดิม"

อย่างไรก็ดี AOT ยืนยันก่อนหน้านี้ว่า ค่าตอบแทนที่ KPD ค้างชำระอยู่นั้น ยังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน ที่ KPD วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญา ซึ่งถือว่าเป็นหลักประกันทางการเงินของคู่สัญญาในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด

อีกทั้ง AOT มีสถานะทางการเงินมั่นคงแข็งแกร่งและยังมีแผนหารายได้เพิ่มจากแหล่งอื่นๆ เช่น รายได้จากค่าใช้บริการระบบไฟฟ้า 400 Hz ระบบปรับอากาศ PC AIR โครงการผู้ให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้น

และกิจการอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 3 และการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์โดยรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทที่จะก่อให้เกิดรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบินซึ่ง AOT ยืนยันว่ายังคงมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรองรับโครงการลงทุนในอนาคต และการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินขององค์กร.