ธปท. คุมเช่าซื้อลีสซิ่งฯ หุ้นไฟแนนซ์ ใครรับผลกระทบมากสุด?
หุ้นไฟแนนซ์ ใครรับผลกระทบมากที่สุด? หลัง ธปท. เข้ามากำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ คุมดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมแทน สคบ. มีผลตั้งแต่ 2 ธ.ค.68
หลังจากที่มีการออกประกาศ “พระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568” (พ.ร.ฎ. เช่าซื้อลีสซิ่งฯ) ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2568 และจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2568 เป็นต้นไป
สำหรับแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป
เดือน ก.ค.2568
- ธปท. จัด focus group กับสมาคมที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมเช่าซื้อฯ สมาคม leasing
เดือน ส.ค.-ก.ย.2568
- เปิดรับฟังความเห็นต่อร่างประกาศ ธปท.เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแล
- ผู้ประกอบธุรกิจเริ่มมารายงานตัวกับ ธปท. ผ่านเว็บไซต์ ธปท.
เดือน ต.ค.-พ.ย.2568
- ธปท. ดำเนินการตามกระบวนการออกประกาศ ธปท.
เดือน ธ.ค.2568
- พ.ร.ฎ. มีผลบังคับใช้ (2 ธ.ค.2568)
- ประกาศ ธปท. มีผลบังคับใช้
ไตรมาส 1/2569
- สิ้นสุดระยะเวลาการรายงานตัว
ย้อนกลับไปถึงที่มาและความจำเป็นในการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของ ธปท. เนื่องจากประชาชาชนใช้บริการเช่าซื้อและลีสซิ่งในวงกว้าง โดยข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์ ณ เดือน ธ.ค.2567 ยอดธุรกรรมคงค้างสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10% ของยอดหนี้ครัวเรือนของประเทศ โดยประมาณ 1 ใน 3 ของยอดธุรกรรมคงค้างดังกล่าว เป็นการให้บริการโดยผู้ประกอบธุรกิจที่ยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลเฉพาะ
ประกอบกับจำนวนเรื่องร้องเรียนมายัง ธปท. ในเรื่องการให้บริการมีค่อนข้างสูง เช่น การให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน, การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่สอดคล้องกับรายได้, ปัญหาค่าธรรมเนียม และปัญหายอดหนี้
โดยผลลัพธ์ที่คาดหวัง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรม และได้รับข้อมูลที่โปร่งใส เพียงพอต่อการตัดสินใจ และเพื่อรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน และการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับประโยชน์จากการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ แบ่งออกเป็น
ผู้ใช้บริการ
- ได้รับบริการที่มีมาตรฐาน ราคาเหมาะสม ได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
- มีข้อมูลเพียงพอเพื่อให้เลือกใช้บริการได้อย่างเหมาะสม
ผู้ประกอบธุรกิจ
- ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
- เพิ่มการแข่งขันที่เท่าเทียมจากการขยายกลุ่มผู้ให้บริการที่มาอยู่ภายใต้กำกับ
ระบบเศรษฐกิจการเงิน
- หน่วยงานกำกับดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินได้ดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ พ.ร.ฎ. เช่าซื้อและลีสซิ่งฯ ได้แก่ นิติบุคคลที่ทำธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์เป็นทางค้าปกติ กำกับดูแลในลักษณะ activity-based ไม่รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มีกฎหมาย/หน่วยงานกำกับดูแลเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว เช่น ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสหกรณ์แท็กซี่
ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายใต้ พ.ร.ฎ. เช่าซื้อและลีสซิ่งฯ
รถยนต์ หมายถึง รถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์สาธารณะ รถยนต์บริการ
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
- รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
- รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด
- รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน
- รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง
- รถยนต์รับจ้างสามล้อ
- รถยนต์บริการธุรกิจ
- รถยนต์บริการทัศนาจร
- รถยนต์บริการให้เช่า
- รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
รถจักรยานยนต์
- รถจักรยานยนต์
- รถจักรยานยนต์สาธารณะ
การกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ธปท. อาศัยอำนาจตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ในการออกหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจและการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม, การดูแลเรื่องการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) เช่น การโฆษณา การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ เป็นต้น, การดูแลเรื่องการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct) เช่น กระบวนการขายผลิตภัณฑ์ การดูแลข้อมูลลูกค้า และการแก้ไขจัดการเรื่องร้องเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้ ธปท.จะมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการแจ้งเปลี่ยนแปลง และการขอผ่อนผันเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ การตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งกิจการ สินทรัพย์ หนี้สิน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสามารถสั่งให้แก้ไขการดำเนินงานในกรณีที่ธุรกิจไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรม หรือเอาเปรียบลูกค้า จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
ขณะที่หน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ จะต้องมีการรายงานตัว, ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งการรายงานข้อมูลที่จำเป็น และจะมีบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม หรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ (โทษปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ)
ด้านอัตราดอกเบี้ย ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดย “รถยนต์ใหม่” คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 10 % “รถยนต์มือสอง” คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% และ “รถจักรยานยนต์” คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 23%
อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องมีการทบทวนทุก 3 ปี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจะครบ 3 ปี ในเดือน ต.ค.2568 ดังนั้นดอกเบี้ยในรอบใหม่จะเข้ามาอยู่ในการดูแลของ ธปท.
บล.กรุงศรี ระบุว่า จากการเข้ามากำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของ ธปท. เรายังคงมุมมองเดิมต่อกลุ่ม Bank ที่จะไม่ได้รับผลกระทบ จากธนาคารดำเนินภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินอยู่แล้ว
ส่วนกลุ่ม Consumer Finance จะได้รับผลกระทบในการดำเนินธุรกิจเช่าซื้อจะมีความเข้มงวดมากขึ้น เช่น หลักเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อ เป็นต้น
โดย Consumer Finance ที่มีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ดังกล่าวเรียงจากมากไปน้อย ดังนี้
- SAWAD, THANI (29%)
- MICRO (17%)
- AEONTS (8%)
- MTC (4%)
- KTC (2%)
ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “NEUTRAL” (ราคาพื้นฐานสูงกว่าราคาตลาดไม่เกิน 5% หรือต่ำกว่าราคาตลาดไม่เกิน 5%) ต่อกลุ่ม Bank คง KBANK (ราคาเป้าหมาย 170 บาท) และ KTB (ราคาเป้าหมาย 25 บาท) เป็น Top Pick และคงคำแนะนำ BULLISH (หุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับคำแนะน า “Buy” หรือคำแนะนำเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของกลุ่มอุตสาหกรรมคือ “Buy” และ “Trading Buy”) ต่อกลุ่ม Consumer Finance คง MTC (ราคาเป้าหมาย 58 บาท) เป็น Top Pick
ดังนั้น Consumer Finance ที่มีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาก มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบมากตามไปด้วย


