ปมขัดแย้งระหว่างประเทศ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า “ซบเซา”
FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (พ.ค.68) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ-เงินเฟ้อ-เศรษฐกิจในประเทศถดถอย ฉุด หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-เงินทุนไหลเข้า หนุน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-28 กุมภาพันธ์ 2568) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤษภาคม 2568) ปรับลงมาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ที่ระดับ 66.11
ผลสำรวจ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับลดลง 37.9% อยู่ที่ระดับ 50.00 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับเพิ่มขึ้น 25.0% อยู่ที่ระดับ 75.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับลดลง 33.3% อยู่ที่ระดับ 66.67 อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ปรับเพิ่มขึ้น 3.8% อยู่ที่ระดับ 115.38 อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมา คือ การไหลเข้าของเงินทุน และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.
ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สถานการณ์เงินเฟ้อ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ
ขณะเดียวกัน หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดยานยนต์ (AUTO)
สำหรับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 SET Index ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลต่อสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ประกาศเริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาเม็กซิโกและจีน ในวันที่ 4 มีนาคม 2568 ผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนรายชื่อหุ้นไทยใน MSCI การทยอยไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบกำหนด และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีหลายบริษัทเปิดเผยออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ แม้ว่า กนง. จะมีการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.0% ต่อปี
โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ปิดที่ 1,203.72 ปรับตัวลดลง 8.4% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 52,041 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6,623 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 18,127 ล้านบาท
ทางด้านปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตามได้แก่ ทิศทางของสงครามการค้าและผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย การทำข้อตกลงยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ นโยบายการเงินการคลังของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุน อาทิ แผนการออกกองทุนใหม่ที่จะให้มีการโยกกองทุนเพื่อการออมระยะยาว (LTF) มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
โดยล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุน Thai ESGX รับเม็ดจาก 2 ส่วน 1.LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน รับสิทธิลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท ระยะเวลา 5 ปี และ 2.เม็ดเงินใหม่ รับสิทธิลดหย่อนภาษี 3 แสนบาท เปิดให้ซื้อหน่วยลงทุน พ.ค.-มิ.ย.2568


