posttoday

เปิดผลประโยชน์ 3 ด้าน หลัง TTB ซื้อ บล.ธนชาต มูลค่า 3,000 ล้านบาท

08 มีนาคม 2568

คุ้มค่าหรือไม่? ส่องผลประโยชน์ 3 ด้าน หลัง TTB ซื้อ บล.ธนชาต จาก TCAP จำนวน 2,698,959,721 หุ้น คิดเป็น 89.97% มูลค่า 3,000 ล้านบาท ดันถือหุ้น 99.97% รอลุ้นผู้ถือหุ้นไฟเขียว 21 เม.ย.นี้

เรียงลำดับเหตุการณ์ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เข้าซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) จาก บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP จำนวน 2,698,959,721 หุ้น คิดเป็น 89.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ บล.ธนชาต มีผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ TCAP เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 2,698,959,721 หุ้น หรือคิดเป็น 89.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว และ TTB เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 300,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว

เริ่มจากเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2567 TTB ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายกับ TCAP เพื่อซื้อขายหุ้น ทั้งหมดที่ TCAP ถืออยู่ใน บล.ธนชาต 

ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ TTB ได้มีมติเห็นชอบเข้าทำธุรกรรมซื้อ บล.ธนชาต ที่ TCAP ถืออยู่ทั้งหมด 2,698,959,721 หุ้น คิดเป็น 89.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว ราคาซื้อขายจะมีมูลค่ารวมเท่ากับมูลค่าทางบัญชีที่ปรับปรุงด้วยรายการตามที่ตกลงกัน ซึ่งมูลค่าทางบัญชีอ้างอิงจากบัญชีเพื่อการจัดการ (management account) ที่จะมีการจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับวันที่การซื้อขายแล้วเสร็จตามกระบวนการที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นฯ 

โดยในเบื้องต้นมูลค่าทางบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตปรับปรุงด้วยรายการที่ตกลงกัน จะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่คำนวณโดยอ้างอิงข้อมูลสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมในบัญชีเพื่อการจัดการ (management account) ณ วันที่ 30 ก.ย.2567

จากนั้นวันที่ 19 ก.พ.2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ TTB ได้มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ในวันที่ 21 เม.ย.2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมฯ ดังกล่าว 

ล่าสุด วันที่ 6 มี.ค.2568 TTB ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น บล.ธนชาต กับ TCAP เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/2568 TTB เป็นผู้ถือหุ้นใน บล.ธนชาต จำนวน 2,998,959,721 หุ้น คิดเป็น 99.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว 

อย่างไรก็ตาม TCAP และบริษัทย่อย ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TTB จำนวน 24,325,519,032 หุ้น คิดเป็น 24.974% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

สำหรับการรับรู้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Synergy) ใน 3 ด้านหลัก ในการเข้าทำธุรกรรมฯ ในครั้งนี้ของ TTB ได้แก่

1. ผลประโยชน์ด้านรายได้ (Revenue Synergy) ที่จะเกิดจากการยกระดับการให้บริการผ่านจุดแข็งของ บล.ธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำที่อยู่ในธุรกิจมาอย่างยาวนานและมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า หากเข้ามาเป็นบริษัทย่อยของ TTB ที่จะเข้ามาช่วยเสริมการให้บริการสำหรับลูกค้ารายย่อยกลุ่ม Wealth Ecosystem โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลงทุนให้มีความครบครันในที่เดียว (One Stop Service) และช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการพอร์ตความมั่งคั่ง (Wealth Management) ได้ครบทุกแง่มุมการลงทุนแบบ 360 องศา นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนบริการวาณิชธนกิจ บริการด้านตลาดทุน และการนำเสนอเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ สำหรับลูกค้าธุรกิจให้ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

2. ผลประโยชน์ด้านต้นทุนทางการเงิน (Funding Synergy) ที่จะเกิดจากการมีความยืดหยุ่นและทางเลือกในการจัดหาเงินทุน รวมไปถึงโอกาสในการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของ TTB เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับ บล.ธนชาต ในการให้บริการกับลูกค้า ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้การบริหารต้นทุนทางการเงินของทั้ง TTB และ บล.ธนชาต มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3. การรับรู้ผลประโยชน์ด้านต้นทุน (Cost Synergy) จากการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายใน และการใช้ Facility ร่วมกันในการให้บริการด้านการลงทุน วาณิชธนกิจ และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน

อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องรอผลการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ในวันที่ 21 เม.ย.2568 ว่าผู้ถือหุ้นจะอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมฯ ดังกล่าว หรือไม่ 

ข่าวล่าสุด

CKP รับประกาศเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Recognition 4 ปีต่อเนื่อง