เปิดผลประโยชน์ 3 ด้าน หลัง TTB ซื้อ บล.ธนชาต มูลค่า 3,000 ล้านบาท
คุ้มค่าหรือไม่? ส่องผลประโยชน์ 3 ด้าน หลัง TTB ซื้อ บล.ธนชาต จาก TCAP จำนวน 2,698,959,721 หุ้น คิดเป็น 89.97% มูลค่า 3,000 ล้านบาท ดันถือหุ้น 99.97% รอลุ้นผู้ถือหุ้นไฟเขียว 21 เม.ย.นี้
เรียงลำดับเหตุการณ์ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เข้าซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) จาก บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP จำนวน 2,698,959,721 หุ้น คิดเป็น 89.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บล.ธนชาต มีผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ TCAP เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 2,698,959,721 หุ้น หรือคิดเป็น 89.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว และ TTB เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 300,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว
เริ่มจากเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2567 TTB ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายกับ TCAP เพื่อซื้อขายหุ้น ทั้งหมดที่ TCAP ถืออยู่ใน บล.ธนชาต
ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ TTB ได้มีมติเห็นชอบเข้าทำธุรกรรมซื้อ บล.ธนชาต ที่ TCAP ถืออยู่ทั้งหมด 2,698,959,721 หุ้น คิดเป็น 89.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว ราคาซื้อขายจะมีมูลค่ารวมเท่ากับมูลค่าทางบัญชีที่ปรับปรุงด้วยรายการตามที่ตกลงกัน ซึ่งมูลค่าทางบัญชีอ้างอิงจากบัญชีเพื่อการจัดการ (management account) ที่จะมีการจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับวันที่การซื้อขายแล้วเสร็จตามกระบวนการที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นฯ
โดยในเบื้องต้นมูลค่าทางบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตปรับปรุงด้วยรายการที่ตกลงกัน จะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่คำนวณโดยอ้างอิงข้อมูลสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมในบัญชีเพื่อการจัดการ (management account) ณ วันที่ 30 ก.ย.2567
จากนั้นวันที่ 19 ก.พ.2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ TTB ได้มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ในวันที่ 21 เม.ย.2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมฯ ดังกล่าว
ล่าสุด วันที่ 6 มี.ค.2568 TTB ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น บล.ธนชาต กับ TCAP เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/2568 TTB เป็นผู้ถือหุ้นใน บล.ธนชาต จำนวน 2,998,959,721 หุ้น คิดเป็น 99.97% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว
อย่างไรก็ตาม TCAP และบริษัทย่อย ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TTB จำนวน 24,325,519,032 หุ้น คิดเป็น 24.974% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
สำหรับการรับรู้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Synergy) ใน 3 ด้านหลัก ในการเข้าทำธุรกรรมฯ ในครั้งนี้ของ TTB ได้แก่
1. ผลประโยชน์ด้านรายได้ (Revenue Synergy) ที่จะเกิดจากการยกระดับการให้บริการผ่านจุดแข็งของ บล.ธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำที่อยู่ในธุรกิจมาอย่างยาวนานและมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า หากเข้ามาเป็นบริษัทย่อยของ TTB ที่จะเข้ามาช่วยเสริมการให้บริการสำหรับลูกค้ารายย่อยกลุ่ม Wealth Ecosystem โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลงทุนให้มีความครบครันในที่เดียว (One Stop Service) และช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการพอร์ตความมั่งคั่ง (Wealth Management) ได้ครบทุกแง่มุมการลงทุนแบบ 360 องศา นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนบริการวาณิชธนกิจ บริการด้านตลาดทุน และการนำเสนอเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ สำหรับลูกค้าธุรกิจให้ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
2. ผลประโยชน์ด้านต้นทุนทางการเงิน (Funding Synergy) ที่จะเกิดจากการมีความยืดหยุ่นและทางเลือกในการจัดหาเงินทุน รวมไปถึงโอกาสในการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของ TTB เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับ บล.ธนชาต ในการให้บริการกับลูกค้า ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้การบริหารต้นทุนทางการเงินของทั้ง TTB และ บล.ธนชาต มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. การรับรู้ผลประโยชน์ด้านต้นทุน (Cost Synergy) จากการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายใน และการใช้ Facility ร่วมกันในการให้บริการด้านการลงทุน วาณิชธนกิจ และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องรอผลการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ในวันที่ 21 เม.ย.2568 ว่าผู้ถือหุ้นจะอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมฯ ดังกล่าว หรือไม่


