posttoday

MASTER จ่อบุ๊กกำไร DR.CHEN เต็มปี 67 เป็นปีแรก หลังเข้าลงทุนถือหุ้น 40%

20 ธันวาคม 2566

MASTER จ่อบันทึกกำไร DR.CHEN เข้ามาเต็มปี 67 เป็นปีแรก หลังเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 40% ล่าสุดร่วมทุนก่อสร้างโรงพยาบาลศัลยกรรมมาตรฐานสากล ‘Dr. Chen Surgery Hospital International Center’ เน้นปรับโครงหน้าด้วยเทคนิคเกาหลี ด้วยงบ 120-150 ล้านบาท ปูพรมขยายฐานลูกค้าไทย-ต่างชาติ

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด (DR.CHEN) จำนวน 72,800 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนจดทะเบียน ในราคาหุ้นละ 1,294.23 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 94.22 ล้านบาท

โดยการร่วมทุนครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของ MASTER เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงทีมผู้บริหาร นำโดย นายแพทย์เชน ชัยชาญชีพ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง สมาชิกแพทยสภา ประเทศไทย และ Board แพทย์เฉพาะทางศัลยศาสตร์ สาขาศัลยศาสตร์ออโธปิดิกส์ Certificate เพิ่มเติมศัลยกรรม ตา จมูก ปาก จากประเทศเกาหลีใต้ รวมทั้งเป็นสมาชิกสมาคมศัลยกรรมเสริมสวยแห่งเกาหลีใต้ (KCCS) Full Facelift จากประเทศอิตาลี พร้อมมีทีมแพทย์มากประสบการณ์ถอดแบบเทคนิคศัลยกรรมเกาหลี ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้าในไทยและต่างชาติมากขึ้น

นอกจากนี้ นายแพทย์เชน ชัยชาญชีพ ยังมีแผนธุรกิจชัดเจน แต่เดิมเน้นทำตลาดกลุ่มลูกค้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก เล็งโอกาสในการขยายตลาดเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าไทยและต่างชาติมากที่สุด  

“การร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สารมรถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตของตลาดวงการศัลยกรรม ด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการที่ DR.CHEN มีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้วยเทคนิคจากเกาหลี ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ” นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว 

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER  กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น DR.CHEN เสร็จสมบูรณ์ บริษัทพร้อมให้การสนับสนุน DR.CHEN ในทุกด้าน โดยคาดว่า DR.CHEN จะเริ่มสร้างผลกำไรให้บริษัทเข้ามาเต็มปี 2567 เป็นปีแรก  

ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมด้านเงินลงทุน สำหรับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นการหาโอกาสในการขยายกิจการผ่านพันธมิตรในต่างจังหวัด ผ่านการทำ Merger and Partnership (M&P) เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมองหาโอกาสการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก 

หลังจากในปี 2566 บริษัทเข้าลงทุนไปแล้ว 10 บริษัท ประกอบด้วย 1. คลินิกเสริมความงาม ภายใต้ชื่อ “WIND Clinic” ถือหุ้นสัดส่วน 40% 2. Rattinan Medical Center ถือหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 36% 3. บริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 40% และ 4. KIN Corp. ซื้อหุ้นเพิ่มทุน 40% 5. บริษัท ทวิงเกิ้ล สตาร์ จำกัด (บจก. ทวิงเกิ้ล สตาร์) ถือหุ้นสัดส่วน 40%

6. บริษัท ทีวายพี เมดิคัล จำกัด (บจก. ทีวายพี) ถือหุ้นสัดส่วน 40% 7. บริษัท ซีเอ็มเอ็นเอช 2012 จำกัด (บจก. ซีเอ็มเอ็นเอช) ถือหุ้นสัดส่วน 40% 8. บริษัท ด็อกเตอร์ ท๊อป แฮร์ ฮอสพิทอล จำกัด (บจก. ด็อกเตอร์ ท๊อป แฮร์) ถือหุ้นสัดส่วน 40% 9. บริษัท บีอีคิว จำกัด (บจก. บีอีคิว) ถือหุ้นสัดส่วน 35% และ 10. บริษัท วี เอ็กคลูซีฟ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการคลินิกเสริมความงามภายใต้ชื่อ “วี สแควร์ คลินิก“ หรือ V Square Clinic (V Square) ถือหุ้นสัดส่วน 40%

“ในแง่ฐานะทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทใช้เงินที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจ ทำให้ไม่กระทบต่อสภาพคล่องหรือการดำเนินงานของบริษัท แต่เป็นส่วนเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ทั้งแง่รายได้และกำไรสุทธิ รวมถึงช่วยสนับสนุนให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นางสาวลภัสรดา กล่าว 

นายแพทย์เชน ชัยชาญชีพ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด (DR.CHEN) โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคเฉพาะจากเกาหลี กล่าวว่า บริษัทได้ก่อนตั้งมาตั้งแต่ปี 2562 ที่ จ.เชียงใหม่ และการร่วมลงทุนกับ MASTER ในครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญที่ได้ร่วมกันสร้างโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสากล เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย เทคนิคการทำศัลยกรรมที่อัปเดตจากทุกมุมโลก และความปลอดภัยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เป็นโอกาสในการร่วมสร้างชื่อเสียงด้านศัลยกรรมความงาม เพราะฝีมือแพทย์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก 

MASTER จ่อบุ๊กกำไร DR.CHEN เต็มปี 67 เป็นปีแรก หลังเข้าลงทุนถือหุ้น 40%

สำหรับจุดเด่นของ DR.CHEN คือแพทย์เป็นเจ้าของเอง และมีความชำนาญการเรื่องการปรับโครงหน้า Makeover พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องความสวยความงาม ทั้งด้านศัลยกรรมความงามครบวงจร การปรับรูปหน้าและดูแลผิวหน้า อีกทั้งยังใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้มาตรฐานสากล อาทิ โปรแกรม 3D สแกนใบหน้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพใบหน้าตัวเองก่อนการศัลยกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์และยาที่ได้มาตรฐานจากองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ  

ทั้งนี้ เทรนด์ศัลยกรรมความงามในปี 2567 มองว่ามุ่งเน้นความปลอดภัยและเน้นความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยตลาดความงามมีความต้องการซื้อสูง มีจำนวนแพทย์หรือคลินิกในตลาดจำนวนมาก และมีการแข่งขันด้านราคาสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เป็นเทรนด์อนาคต ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด และได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญสูงสุดด้านการศัลยกรรม  

ขณะเดียวกัน บริษัทและ MASTER ได้ร่วมกันลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงพยาบาล Dr. Chen Surgery Hospital International Center โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามมาตรฐานสากล เน้นการปรับโครงหน้าด้วยเทคนิคจากเกาหลี โดยใช้งบลงทุน 120-150 ล้านบาท และในปี 2567 วางงบลงทุนไว้อีกประมาณ 40 ล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มเติม

ล่าสุดถือฤกษ์ดีเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 เปิดตัวโรงพยาบาล Dr. Chen Surgery Hospital International Center อย่างเป็นทางการ ตั้งอยู่ปากซอยรามคำแหง 160 ติดกับโรงพยาบาลรามคำแหง 2 เดินทางสะดวกบนทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง โดยเป็นอาคารสูง 6 ชั้น ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 2,500 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้องผ่าตัด 6 ห้อง, ห้องพักฟื้นและห้อง IPD และมีบริการโซนของ Aesthetic รองรับความต้องการด้านความงามโดยเฉพาะ 

ชูจุดเด่นมีห้องผ่าตัดใหญ่พิเศษ เน้นด้านความสะอาดและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อความคล่องตัวในการทำงานของแพทย์ภายในห้องผ่าตัด รวมถึงการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์และการเคลื่อนย้ายลูกค้าหลังการผ่าตัดด้วยช่องทางเดินที่กว้างขวาง เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและการดูแลหลังผ่าตัดที่ดี ตอกย้ำการทำศัลยกรรมจบที่นี่ที่เดียว ไม่ต้องบินไกลถึงเกาหลีใต้

สำหรับแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทเน้นทำการตลาดแบบ Online Marketing มากขึ้น ผ่าน Influencer ชื่อดัง พร้อมวางแผนขยายตลาดต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างหาพาร์ตเนอร์บริษัทเอเจนซี่เพื่อเจาะตลาดแต่ละประเทศ โดยเฉพาะหลักๆ คือ จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ จากปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าไทยอยู่ที่ 70-80% และลูกค้าต่างชาติ 20-30% (ญี่ปุ่น จีน สหรัฐ และสิงคโปร์) และคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2567 คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้เติบโต 30% ต่อปี