posttoday

ส่องคาดการณ์กำไรกลุ่ม รพ. ไตรมาส 4/66-ปี 66-ปี 67 ใครเด่นสุด

18 ธันวาคม 2566

ลุ้นกำไรกลุ่ม รพ. โบรกฯ คาดไตรมาส 4/66 กำไร รพ. ขนาดกลางเติบโต YoY และ QoQ ดีกว่ากลุ่มฯ ส่วนปี 66 กำไรลดลง 4% จากปี 65 ก่อนเข้าสู่การเติบโตรอบใหม่ในปี 67 ชู BCH-CHG หุ้นเด่น

เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะปิดงบไตรมาส 4/2566 และทั้งปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กันแล้ว ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” ได้หยิบยกบทวิเคราะห์ของ บล.กรุงเศรี พัฒนสิน ซึ่งได้มีการประเมินถึงภาพรวมกำไรสุทธิของ บจ. และน้ำหนักการลงทุนในไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567 โดยเฉพาะแนวโน้มกำไรของ “หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล” ในไตรมาส 4/2566 และทั้งปี 2566 รวมไปถึงทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2567 มาเพื่อข้อมูลสำหรับนักลงทุน        

ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินว่า ทิศทางกำไรสุทธิไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567 ส่วนหนึ่งน่าจะยังถูกขับเคลื่อนจาก “นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลชุดใหม่” ซึ่งนโยบายหลักที่ทำก่อนจะเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค, ลดค่าครองชีพ กระตุ้นการเข้ามาของนักท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะได้ประโยชน์ก่อน ในขณะเดียวกัน ผลบวกจากต้นทุนพลังงานที่เริ่มลดลงทั้งไตรมาส น่าจะช่วยส่งผลต่อ % อัตรากำไรทยอยดีขึ้น

โดยการลงทุนในไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567 ยังให้น้ำหนัก 1) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลักภายใต้การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และ 2) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ โดยเลือก กลุ่มพาณิชย์, กลุ่มโรงแรม, กลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน

ทั้งนี้ TOP PICKS ได้แก่ DOHOME, ERW, BCH, WHA และ DELTA สำหรับการลงทุนในไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567

สำหรับแนวโน้มกำไรหุ้นกลุ่มโรพยาบาลในไตรมาส 4/2566 คาดว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษาจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ BDMS, BH, BCH, CHG และ THG จะมีกำไรสุทธิรวม 5,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากคาดว่าการใช้บริการ และ Intensity ค่ารักษาโรคจะเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มชาวไทย และต่างชาติ 

ประกอบกับโรงพยาบาลขนาดกลาง (BCH, CHG) มีผลบวกของปรับเพิ่มค่าเหมาจ่ายประกันสังคม รวมทั้งมีโอกาสบันทึกรายได้ภาระเสี่ยงประกันสังคมเพิ่มเติม และผลกระทบการปรับฐานรายได้เกี่ยวกับ COVID ลดลงต่อเนื่อง ทำให้คาดรายได้ของ BCH และ CHG กลับมาเติบโตสูงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และเติบโตจากไตรมาสก่อน ดีกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 

นอกจากนี้ คาดมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้นไตรมาสเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อน โดยเฉพาะ CHG มีปัจจัยเฉพาะตัวจากโรงพยาบาลจุฬารัตน์ แม่สอด, ศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ มีความพร้อมให้บริการเต็มไตรมาส ช่วยลดผลกระทบของต้นทุนส่วนเพิ่มจากการขยายเครือข่ายและเพิ่มศักยภาพให้บริการ 

ในเบื้องต้นคาดว่า BCH และ CHG จะมีกำไรสุทธิเติบโตจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อน เป็นอันดับ 1และ 2 ของกลุ่มโรงพยาบาล

ส่วนโรงพยาบาลขนาดใหญ่ (BDMS, BH) คาดกำไรสุทธิเติบโตจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนในอัตราแผ่วลงจากฐานสูง และลดลงจากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้นกว่ารายได้ 

ส่องคาดการณ์กำไรกลุ่ม รพ. ไตรมาส 4/66-ปี 66-ปี 67 ใครเด่นสุด

ขณะที่คาดในปี 2566 กลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษาจะมีกำไรสุทธิรวม 23,917 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน ลดลงจากการปรับฐานรายได้และกำไรของ BCH, CHG และ THG ตามการลดลงของการให้บริการเกี่ยวกับ COVID ส่วนกำไรสุทธิของ BDMS เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน และ BH เพิ่มขึ้น 39% จากปีก่อน คาดเติบโตในอัตราแผ่วลง หลัง Pent-up demand กลุ่มลูกค้าต่างชาติมีแนวโน้มกลับสู่ระดับปกติ 

อย่างไรก็ตาม ชอบ BDMS มากกว่า BH เนื่องจาก 1) BDMS ไม่มีข้อจำกัดด้าน Capacity รองรับการเติบโตระยาวจากการให้บริการลูกค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2) คาดมีผลบวก Economy of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้นจากการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ 

ทางด้านทิศทางปี 2567 คาดกำไรสุทธิรวม 25,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2566 เติบโตเป็นปีแรกในช่วง Post COVID มีปัจจัยบวกจาก BCH, CHG และTHG คาดกำไรกลับมาเติบโตเด่นกว่ากลุ่มโรงพยาบาล ตามทิศทางรายได้จากการใช้บริการปกติ ประกอบกับมีผลบวกอัตราค่ารักษาเพิ่มขึ้น และมีอัตรากำไรฟื้นตัว 

ทั้งนี้ คงน้ำหนักลงทุน Bullish สำหรับกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจาก 1) เข้าสู่ช่วงการเติบโตของกำไรรวมตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นไป หลังโรงพยาบาลขนาดกลางผ่านช่วงการปรับฐานเกี่ยวกับ COVID และ 2) คาดปี 2567 กำไรสุทธิรวมกลุ่มโรงพยาบาล เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2566 กลับมาเติบโตจากฐานกำไรรวมกลับสู่ปกติ 

โดยคาดว่า BCH และ CHG จะมีกำไรสุทธิปี 2567 เติบโตเด่นกว่ากลุ่มโรงพยาบาล ส่วน BDMS, BH เติบโตในอัตราปกติ โดยเลือก BCH (Buy ราคาเป้าหมาย 23.00 บาท) และ CHG (Buy ราคาเป้าหมาย 4.00 บาท) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มโรงพยาบาล 

BCH และ CHG น่าสนใจจากคาดกำไรปี 2566 ผ่านจุดต่ำสุด ประกอบกับทั้ง 2 โรงพยาบาล ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นค่ารักษาประกันสังคม และมีการยกระดับการรักษาครอบคลุมโรครุนแรงมากขึ้น ทำให้มีศักยภาพแข่งขันดีขึ้น มีโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ รวมทั้งคาดว่า Intensity ค่ารักษามีแนวโน้มสูงขึ้น