posttoday

เอาให้ชัด! "กองทุน TESG"ความหวังดันหุ้นไทยแค่ไหน? คัดหุ้นดีที่สุด

25 พฤศจิกายน 2566

รู้ก่อนซื้อ! "กองทุนรวม TESG"ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30% วงเงินไม่เกินแสนบาท 4 กูรูวงการหุ้นแห่คัดหุ้นเกรด AAA ดักทางกองทุนช้อป

     ลุ้นกันมานานว่า กองทุนที่จะมาแทน "กองทุน SSF" ที่จะหมดอายุในปี 2567 ต้องเป็นกองทุนแบบไหนที่จะได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุนไทย มีโอกาสที่จะปัดฝุ่น "กองทุนรวม LTF" ถือครอง 5 ปีจะกลับมาได้หรือไม่ เพราะมีแรงซื้อเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกอง SSF 

เอาให้ชัด! \"กองทุน TESG\"ความหวังดันหุ้นไทยแค่ไหน? คัดหุ้นดีที่สุด      แต่แล้วแผนปัดฝุ่นก็ถูกพับ เหตุเพราะ 5 ปีถูกมองว่าถือระยะเวลาน้อยเกินไป อยากให้นักลงทุนถือลงทุนระยะยาว จึงต้องหาจุดกึ่งกลาง ระหว่าง 7 ปี ถึง 10 ปี

     จนล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบกฎกระทรวงออกตามความประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นภาษีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของไทย โดยกำหนดให้เงินได้บุคคลธรรมดา ที่ใช้จ่ายเพื่อซื้อหน่วยลงทุนใน "กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน Thailand ESG Fund (TESG)" ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้น โดยไม่ต้องมานำรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ 

     พูดง่ายๆก็คือ กองทุน TESG เป็นการลงทุนใน บจ. ที่อยู่ในกลุ่มหุ้น ESG หุ้นไทย 100% และต้องถือครองหน่วนลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปี โดยกำหนดให้ซื้อหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับความยั่งยืน เช่น หากลงทุนในตราสารทุน จะต้องลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ หุ้นที่มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ ลงทุนตราสารหนี้ กลุ่มความยั่งยืน เช่น ตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน เป็นต้น ต้องลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทไทยเท่านั้น

     กระแสการตอบรับถือว่าดี แต่แท้จริงแล้ว ข้อดี - ข้อด้อย ของ "กอง TESG" มีสิ่งไหนที่นักลงทุนต้องรู้บ้าง

เอาให้ชัด! \"กองทุน TESG\"ความหวังดันหุ้นไทยแค่ไหน? คัดหุ้นดีที่สุด      "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า "ข้อดี" ของ "กองทุน TESG" คือ 1. เป็นวงเงินลดหย่อยภาษีก้อนใหม่ที่แยกมาจาก SSF ถือว่าดีไม่ได้เบียดเบียนเงินเก่า 

     2. เงินใหม่เมื่อเทียบฝั่ง SSF บังคับให้ซื้อหุ้นที่มี ESG ซึ่งเป็นหุ้นไทย จากเดิมที่ SSF มีการลงทุนที่หลากหลายมากและเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ ไปลงทุนหุ้นนอกมากกว่า

     และ 3. จังหวะการขายถือว่าดี ใช้ได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปีนี้ ทั้ง 3 ประเด็นนี้ถือเป็นแรงหนุนหุ้นไทย

     ขณะที่ "ข้อเสีย" ของ "กองทุน TESG" คือ 1. วงเงินลดหย่อนเพียง 100,000 บาท ส่วนตัวมองว่าน้อยเกินไป ถ้าให้ดีควรให้วงเงิน 300,000 หรือ 500,000 บาท เหมือนวงเงินกองทุน SSF หรือ RMF น่าจะช่วยเรื่องเม็ดเงินที่จะเข้ามามากกว่า 

     2. การถือหน่วยลงทุน 8 ปี เทียบกับในอดีต 10 ปีปฏิทินก็แทบไม่ต่างกัน แต่ถ้าอยากให้เซ็กซี่ต้องใช้เหมือน LTF เดิมที่มีอายุ 5 ปี ถือ 3 ปีกว่า เพราะปัจจุบันลงทุนหุ้นมักจะเกิดปัจจัยใหม่ๆไม่เหมือนในอดีตที่ 10 ปีถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนกลัวการลงทุนที่ยาวเกินไป ส่วนตัวเข้าใจว่าอยากให้เกิดการลงทุนในระยะยาวแต่ตอนนี้สถานการณ์การลงทุนที่ยาวมากอาจจะเกิดปัญหา Global ต่างๆเข้ามาเป็นรอบๆ นี่ถือว่ายาวไปนิดนึง

     ส่วนเม็ดเงินที่จะเข้ามาหนุนรอบนี้คาดว่าไม่เยอะมาก ด้วยภาวะตลาด รวมถึงระยะเวลาการถือครองที่ยาวเกินไป คาดว่าจะเข้ามาหนุนเพียง 10,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยพยุงตลาดหุ้นได้เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น แต่ข้อดีคือ Sentiment ถ้ามองว่าในอนาคต 1-2 สัปดาห์จะมีเม็ดเงินลงทุน 1 ก้อนเข้ามาพยุงหุ้นไทย คนก็อาจจะไม่ได้มองลบมากสำหรับหุ้นไทยเดือนธันวาคม 2566 แม้เม็ดเงินอาจไม่ได้เยอะมากแต่ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดีได้เช่นกัน

ทริคลงทุนหุ้น ESG

     สิ่งแรกที่ต้องดู คือ 1. เรตติ้ง อย่างน้อยที่ต้องสแกน คือ หุ้นที่มีเรตติ้งระดับ AAA หรือ AA ซึ่งตรงกับ ESG เรตติ้ง

     2. Liquidity หรือ สภาพคล่อง เพราะเวลาที่กองทุนเข้าหุ้นตัวนั้นๆต้องมีสภาพคล่อง 
     3. Valuation ตอนนี้หน้าหุ้นกองโซนล่างเยอะ P/Eไม่แพงเยอะ ดังนั้นจึงต้องหาหุ้นที่ลดลงเมื่อเทียบในอดีต สมมุติในอดีต หุ้นเทรด พีอี 20 เท่า แต่วันนี้เทรด 15 เท่า ถือเป็นจุดในการช่วยคัดกรองได้ 

     และสุดท้ายต้องดู 4. Growth เพราะการจะลงทุนอย่างยั่งยืน พิจารณาแค่เรตติ้งดีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองภาพของการเติบโตประกอบด้วย เพราะภาพระยะสั้นเหมือนแรงดึงดูดไม่ดี ผลงานของกองทุนก็อาจจะออกมาไม่ดี

     จากการสำรวจหุ้น ESG จำนวน 200 หุ้น พิจารณาผ่านเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นนั้น ในเบื้องต้นพบว่ามีหุ้นเพียง 20 ตัวที่น่าสนใจ แต่หากคัดหุ้นที่น่าสนใจออกมาจริงๆมีเพียงหุ้น 4 ตัวเท่านั้นถือว่าดี ดังนี้คือ 1. หุ้นกลุ่มนิคมฯ เลือก AMATA 2. กลุ่มเฮลท์แคร์ เลือก BCH

     3. กลุ่มค้าปลีกที่ขึ้นมา มอง CPALL น่าสนใจ และ 4. กลุ่มโรงไฟฟ้า เลือก GULF เพราะผ่านเกณฑ์ทุกข้อ

ไทยเผชิญวิกฤติ ศก. หรือ เชื่อมั่น ?

     ส่วนตัวมองว่าเกิด "วิกฤติความเชื่อมั่น" มากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะในเชิงเศรษฐกิจของไทยจะค่อยๆฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ไม่ฟื้นแรงมาก คงต้องใช้แรงหนุนในช่วงถัดไป แต่ความเชื่อมั่นตอนนี้มันค่อนข้างวิกฤติเพราะอย่างที่เห็นคือนักลงทุนรายย่อยไม่เทรด วอลุ่มการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยสัดส่วนครึ่งหนึ่งเป็นโปรแกรมเทรดดิ้ง คนจะเบื่อเรื่องการลงทุนอย่างมาก คงต้องฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมา

     แต่หลังจากที่รายย่อยออกมาเรียกร้องถือว่าภาครัฐ, ตลท. , ก.ล.ต. เริ่มเข้ามาให้ความสำคัญกับพวกโปรแกรมเทรดดิ้ง และ ชอร์ตเซลมากขึ้น เชื่อว่าจากนี้น่าจะมีโมเมนตัมที่ดีและรอความคาดหวังนโยบายจากทางภาครัฐผลักดันขับเคลื่อนในช่วงถัดไปได้

     การแก้ไขให้ตรงจุด สิ่งแรก คือ 1.นักลงทุนกลัวตรงจุดไหนก็ไปแก้ตรงจุดนั้น เช่น มาตรการต่างๆในช่วงหลังดูเหมือนเอาจริงเอาจังและเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะเห็นเกิดการแฟร์กับนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น 

     ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐควรเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือระยะกลางถึงยาว ไม่ใช่การช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว ใส่เข้ามาแล้วจบ ซึ่งตอนนี้จะเห็นว่ากำลังดูแลเรื่อง "หนี้" ส่วนตัวมองว่าดี เพราะคนเป็นหนี้เยอะมาก หนี้นอกระบบเยอะมาก ซึ่งรากหญ้าโดนเต็มๆ หากรัฐสามารถช่วยเคลียร์ปัญหาเรื่องหนี้ที่อยู่นอกระบบ แล้วค่อยมาเคลียร์ปัญหาหนี้ในระบบ แก้ปัญหาหนี้แค่นี้ก็ถือว่าคนเกินครึ่งหนึ่งของประเทศก็จะมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นและเศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้นคืนกลับมา 

     ขณะที่ การท่องเที่ยวก็เป็นอีกขาที่คนหมดความเชื่อมั่นเยอะ โดยเฉพาะที่มีข่าวว่าจีนไม่มาเที่ยวไทยถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ท้าทายการดำเนินงานของภาครัฐที่ต้องฟื้นความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวกลับคืนมา 

25 หุ้นยั่งยืนระดับ AAA - AA

     นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยกองทุนรวมนี้จะนำเงินไปลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด โดยจะลงทุนในกิจการของไทยเท่านั้น 

     โดยผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุน ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษี และถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2566 - 31 ธ.ค. 2575 

     ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์มองหุ้นยั่งยืนที่ได้รับการจัดอันดับ AAA และ AA ที่น่าสนใจ จะเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อของกองทุนที่จะถูกจัดตั้ง โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ AAA คือ ADVANC, AMATA, BCP, BGRIM, CPALL, CPAXT, CPF, CRC, KBANK, OR, PTT, SCGP, WHA 

     ส่วนหุ้นที่จัดอันดับ AA คือ BAM, BBL, BCH, BDMS, BJC, CPN, EA, GULF, MAJOR, MINT, OSP, SCB เป็นต้นดังกล่าว

20 หุ้นใหญ่สุด ESG สกอร์สูง

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กองทุน THAIESG จะเริ่มขายวันที่ 1 ธ.ค. 66 ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2566 ถึง 2575 และในระยะยาวเข้ามาทดแทนกองทุน SSF ที่จะหมดอายุสิ้นปี 2567 ดังนั้นการลงทุนของกองทุนน่าจะเอนเอียงไปในหุ้น หรือตราสารหนี้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น 

     กลับมาที่ตลาดหุ้นช่วงที่ตลาดหุ้นมีมูลค่าซื้อขายเบาบาง ฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาหุ้นที่จะได้สภาพคล่องเพิ่มเติมจากกองทุนในช่วงที่เหลือของปี 2566 จนถึงช่วงต้นปี 2567 หรือ “หาหุ้นที่กองทุนซื้อแล้ว ซื้ออยู่ ซื้อต่อ” มีรายละเอียดดังนี้

     1. ซื้อแล้ว (เดือน พ.ย.66) กองทุนเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมาทุกวัน มูลค่ารวม 2.5 พันล้านบาท ผลักดัน SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37 จุด หรือ 2.6% มาอยู่ที่ 1423 จุด และมีโอกาสซื้อต่อจากกองทุน ACTIVE FUND ที่สัดส่วนเงินสดของกองทุนราว 4%

     2. ซื้ออยู่ (เดือน ธ.ค.66) คาดหวังเม็ดเงินใหม่จากกองทุน THAIESG เข้ามาหนุนในช่วงที่เหลือของปีราว 1-2 หมื่นล้านบาท

     2.1 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้ ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มี ESG SCORE สูงๆ ซึ่งฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ GULF, CPALL, SCC, CPN, CRC, EA, PTTGC, SCGP และอื่นๆ

เอาให้ชัด! \"กองทุน TESG\"ความหวังดันหุ้นไทยแค่ไหน? คัดหุ้นดีที่สุด

     2.2 ตราสารหนี้ที่ได้รับสนใจมากขึ้น คือ บริษัทจดทะเบียนที่ได้ออก ESG BOND ในช่วงที่ผ่านมา จะมีความต้องการ (DEMAND) ในการระดมทุนเพิ่มเติม อาทิ EA, BEM, GPSC, TU, IVL, GULF, CPN, WHA ฯลฯ

     3. ซื้อต่อ (เดือน ม.ค.67) ในต้นปี 67 ตลาดหลักทรัพย์จะมีการจัดทำดัชนี SET50FF และ SET100FF ทำให้หุ้นสถาบันฯ ต้องมีการออกกองทุนใหม่อิงกับดัชนีนี้ ซึ่งหุ้นใน SET100 ที่มี FREE FLOAT สูงจะได้รับการเพิ่มน้ำหนักมากกว่าปกติ ฝ่ายวิจัยทำการศึกษามาพบว่า มีหุ้นอยู่ 8 SECTOR ที่จะถูกปรับเพิ่มน้ำหนัก และหุ้นที่มี FREE FLOAT เยอะสุดในกลุ่มนั้นๆ คือ BANK เพิ่มน้ำหนัก (BBL), CONS (STEC), TOURISM (CENTEL), CONMAT (SCC), HELTH (BDMS), PROP (AMATA), AGRI (STA), COMM (CPALL) เป็นต้น

เม็ดเงินไหลเข้าหมื่นล้าน

     นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า ข่าวดีหุ้นไทย การมีกองทุน TESG คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหนุนในตลาดหุ้นไทย 10,000 ล้านบาท 

เอาให้ชัด! \"กองทุน TESG\"ความหวังดันหุ้นไทยแค่ไหน? คัดหุ้นดีที่สุด      โอกาสและความเสี่ยงสำหรับหุ้นไทยในปี 2567 มองว่าโอกาสหลักคือ 1.เศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่เหมือนเศรษฐกิจโลก เรามีมาตรการกระตุ้นและดอกเบี้ยเริ่มชะลอตัว

     2.หุ้นไทยอยู่ในราคาที่ถูก Undervalue จริงๆ และสายปันผลเป็นจังหวะที่ดี ยิลด์สูง เงินปันผลที่ได้จะมีเรต 3-4% ขึ้นไปซึ่งสูงกว่าเงินฝาก แม้วันนี้การทำงานของรัฐบาลยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นจึงต้องพยายามพิสูจน์นโยบายว่าทำได้จริง ภายใน 2-3 ปีจะฟื้นกลับมาได้ 

     ส่วนปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับไทย อย่างสงครามเกิดในต่างประเทศอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ความเสี่ยงคือ ปัญหาภัยแล้ง ภาวะโลกร้อนที่จะเข้ามาปีหน้า 

     หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานหุ้นไทยซึ่งจะสะท้อนกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ปีนี้ไม่แปลกที่หุ้นไทยไม่ดีเพราะกำไร บจ. ลดลงราว 7% แต่ปีหน้ามีโอกาสฟื้นเป็น V-shap

     และเวลาลงทุนในตลาดหุ้นต้องรู้ว่าสัดส่วนใหญ่ของกำไร มาจาก กลุ่มสถาบันการเงิน, กลุ่มพลังงาน, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มภาคบริการ ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นดีตรงที่เราได้ลงทุนกลุ่มที่ดีที่สุดของประเทศ เป็นธุรกิจชั้นนำของประเทศ  

    สำหรับแนวโน้มดัชนีปี 2567 ซึ่งตอนนี้ดัชนีต่ำกว่า 1450 จุด มองว่าอย่างน้อยหุ้นไทยจะไม่ต่ำกว่า 1450 จุด ถ้าระดับดัชนีที่ควรจะเป็นคือในปีหน้าควรแตะระดับ 1650-1750 จุด ถือเป็นอัพไซต์ปีหน้าที่ประเมินไว้ 

     ขณะที่โผหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกในปีหน้า เน้นหุ้นเด่นในแต่ละกลุ่ม อย่าง ธนาคาร เลือก BBL เป็นธนาคารที่ Conservative 2. CRC  3. SCC หุ้นใหญ่ ผ่านมาหลายวิกฤติผ่านมาได้ เป็นหุ้นปันผล 4. GULF หุ้นใหญ่ ได้รับผลกระทบการลดค่าไฟค่อนข้างน้อย และ 5. BDMS เป็นโรงพยาบาลใหญ่ แม้มีวิกฤติก็สามารถผ่านไปได้

 

     นี่คือโอกาสของผู้ที่ชื่นชอบการลงทุนระยะยาว พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี ก่อนสิ้นปี 2566 แต่สิ่งที่ต้องรู้และต้องย้ำอีกครั้ง ก็คือ เมื่อซื้อกองทุน TESG แล้วต้องถือครองลงทุนเป็นเวลา 8 ปีขึ้นไปนับจากวันที่ลงทุน หากถึงเวลาที่กำหนดหากขาย กำไรที่ได้จะไม่เสียภาษี! แต่...ถ้าขายก่อนเวลาที่กำหนด ต้องเสียภาษีตามนั้น

       เรียนเพื่อทราบ วางแผนการเงินให้ดี ! ! !