posttoday

เปิดสาเหตุผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน JKN งวด 9 เดือน ปี 66

15 พฤศจิกายน 2566

วิกฤต! JKN ขาดสภาพคล่อง มีหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์กว่า 4,285 ล้านบาท-ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้และเงินกู้จากสถาบันการเงิน-สินทรัพย์ไม่มีตัวตนประเภทลิขสิทธิ์รายการและมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยส่อด้อยค่า เป็นเหตุให้ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบงวด 9 เดือน ปี 66

คุณแอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้นําส่งงบการเงินสําหรับไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรก ปี 2566 

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 19.75 ล้านบาท ลดลง 76.75% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 84.94 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรก ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 141.23 ล้านบาท ลดลง 19.51% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 175.47 ล้านบาท เป็นผลจากค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าด้านรายได้มีการเติบโตขึ้นเกือบทุกด้าน ส่วนต้นทุนบริการของธุรกิจการขายและให้บริการจัดการสิทธิ์ของมิสยูนิเวิร์สมีผลขาดทุน เนื่องจากเป็นการจัดงานครั้งแรก และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน    

อย่างไรก็ตาม ผู้สอบบัญชีได้สอบทานและรับรองงบการเงิน โดยไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลที่สอบทาน ซึ่งบริษัทขอชี้แจงว่าการที่ผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลของบริษัท สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2566 ไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหาร แต่เกิดจากผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญตามสถานการณ์ ดังนี้

1. การขาดสภาพคล่องทางการเงิน

ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 1.2 เนื่องจากกลุ่มบริษัทบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินไม่เป็นไปตามแผน ส่งผลให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A การผ่อนผันการชำระหนี้ รวมถึงการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าว ตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 27 ก.ย.2566 ถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ จำนวน 6 รุ่น Cross Default ตามข้อกำหนดสิทธิ 

นอกจากนี้ ยังถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน ทำให้บริษัทต้องพิจารณาจัดประเภทหนี้สินประเภทหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ และหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงิน เป็นหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 กลุ่มบริษัทจึงมีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนรวมสำหรับงบการเงินรวมจำนวนเงิน 4,285.52 ล้านบาท และงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวนเงิน 3,256.15 ล้านบาท 

สถานการณ์ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาขอขยายการชำระหนี้สินและไม่เรียกร้องให้ชำระหนี้โดยพลัน (Call Default) และอยู่ระหว่างการหาแหล่งเงินทุนใหม่ การปรับโครงสร้างกิจการและการปรับโครงสร้างทางการเงินใหม่ ต่อมาในวันที่ 7 พ.ย.2566 ที่ประชุมกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 มีมติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยในวันที่ 8 พ.ย.2566 บริษัทได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและในวันที่ 9 พ.ย.2566 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท และกำหนดวันไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 29 ม.ค.2567 

ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหมดจะส่งผลต่อการเรียกชำระคืนของหนี้สินและอาจถูกฟ้องร้องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ และหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยพลัน และการจ่ายชำระหนี้สินหมุนเวียนจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการปรับแผน จากสถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการจ่ายชำระหนี้สินและการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท

2. การผิดนัดชำระหนี้

ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 1.2 เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566 บริษัทผิดนัดชำระหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2563 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 (JKN239A) จำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 609.98 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชำระหนี้รุ่น JKN239A ส่งผลให้เข้าหลักเกณฑ์ เรื่องการผิดนัดชำระตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขอันถือเป็นเหตุผิดนัดของหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ที่บริษัทออกและยังมิได้ไถ่ถอนทั้งหมด 

และในวันที่ 4 ก.ย.2566 ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้แจ้งการผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ Cross Default และวันที่ 27 ก.ย.2566 บริษัทได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวว่าอนุมัติให้เลื่อนการชำระคืนเงินต้นจำนวนเงิน 19.5 ล้านบาท ไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.2566 ส่วนที่เหลือจำนวนเงิน 432.45 ล้านบาท ให้ชำระคืนในวันที่ 23 ก.พ.2567 และปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจากเดิม 6.60% ต่อปี เป็นอัตรา 7% ต่อปี

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นกู้มีมติอนุมัติขอผ่อนผันให้การผิดนัดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในวันครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 1 ก.ย.2566 ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดและไม่เรียกชำระหนี้ตามหุ้นกู้โดยพลัน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2566 บริษัทได้รับหนังสือจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเรียกให้บริษัทชำระเงินต้นหุ้นกู้และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัททั้งหมด

ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 20 ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.-30 ก.ย.2566 บริษัทไม่สามารถจ่ายชำระหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินตามเงื่อนไขในสัญญาจำนวน 3 แห่ง จํานวนเงิน 54.64 ล้านบาท และในเดือน ก.ย. และ ต.ค.2566 บริษัทได้รับหนังสือเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้บางส่วนที่ครบกำหนดชำระแล้ว ตามสัญญาจากสถาบันการเงิน 

อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.ย. บริษัทได้ทำหนังสือขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้กับสถาบันการเงิน 3 แห่ง และขอให้สถาบันการเงินไม่เรียกร้องให้บริษัทชำระหนี้ทั้งหมดทันที แต่ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้หนังสือยืนยันจากสถาบันการเงิน 

ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 บริษัทยังไม่ได้ตั้งประมาณการความเสียหายและดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่อาจเกิดขึ้นในงบการเงิน

3. การประเมินการด้อยค่า

กลุ่มบริษัทมีมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยจำนวนเงิน 2,460.31 ล้านบาท เครื่องหมายการค้าจำนวนเงิน 1,333.31 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนประเภทลิขสิทธิ์รายการจำนวนเงิน 6,277.65 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดังกล่าวอาจด้อยค่าและมีค่าความนิยมจำนวน 717.96 ล้านบาท ที่บริษัทต้องทดสอบและประเมินด้อยค่าทุกปี สินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินการประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ

สถานการณ์ดังกล่าว มีผลกระทบและมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญต่อความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท และอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินที่มีสาระสำคัญในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ