posttoday

60วันสุดปั่นป่วน! หุ้นไทยดี-ร้าย? นายกฯกับแผนกู้เงิน 5แสนล้าน

11 พฤศจิกายน 2566

"กวี ชูกิจเกษม"มองหุ้นไทยตลอด 2 เดือนนับตั้งแต่มีนายกรัฐมนตรีร่วงตามตลาดเพื่อนบ้าน หลายปัจจัยกดดัน ฟากนโยบายกู้เงิน 5 แสนล้านแจกเงิน Digital Wallet แถม เซอร์ไพร์ส E-refund 5โบรกมองบวก กลุ่มค้าปลีก เช่าซื้อ ดิจิทัล เตรียมรับอานิสงส์

60วันสุดปั่นป่วน! หุ้นไทยดี-ร้าย? นายกฯกับแผนกู้เงิน 5แสนล้าน      นับตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เข้าดำรงตำแหน่งในวัน 1 กันยายน 2566 นั้น

     ตลาดหุ้นไทย ตลอด 2 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.66 จนถึงวันที่ 10 พ.ย.66 ดัชนีขึ้นไปทำจุดสูงสุด ในวันที่ 1 ก.ย.66 แตะระดับ 1,561.51 จุด จากนั้น ดัชนีลดลงต่ำสุดในวันที่ 26 ต.ค.66 ที่ 1,371.22 จุด โดยรวมดัชนีลดลง 190.29 จุด

     ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 66 จนถึงเดือน ส.ค.66 ดัชนีขึ้นไปแตะระดับสูงสุด ในวันที่ 10 ม.ค.66 แตะระดับ 1,691.41 จุด และลดลงต่ำสุดในวันที่ 28 มิ.ย.66 อยู่ที่ 1,466.93 จุด โดยรวมลดลง 224.48 จุด

     คำถามตัวโตๆก็คือ สาเหตุที่ตลาดหุ้นร่วงลงต่อเนื่องนั้นเกี่ยวพันกับนายกฯหรือไม่ รึเพราะเหตุปัจจัยในต่างประเทศกดดันจนต่างชาติเทขายใช่หรือไม่

      นายกวี ชูกิจเกษม Head Research and Content บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสินเข้ามาดำรงตำแหน่ง ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ซึ่งสอดรับกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลง ทั้ง ตลาดหุ้นจีน และ อเมริกาปรับตัวลดลงเช่นกัน อีกทั้งค่าเงินหลายประเทศได้ปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกัน 

60วันสุดปั่นป่วน! หุ้นไทยดี-ร้าย? นายกฯกับแผนกู้เงิน 5แสนล้าน      แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าช่วงแรกที่นายกฯเข้ามาเป็นรัฐบาลนั้น ตลาดหุ้นไทยจึงปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นรอบบ้าน และค่าเงินบาทอ่อนกว่าค่าเงินรอบบ้าน นั่นบ่งชี้ว่าไทยมีสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวล ซึ่งเราจะเห็นแรงขายของตลาดตราสารหนี้ ซึ่งชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของนโยบายดิจิตอลวอลเล็ต

     เพราะตลาดตราสารหนี้จำเป็นต้องใช้เงิน ซึ่งไม่เหมือนตลาดหุ้นที่เวลามีคนขายลงมาเยอะก็มีคนซื้อ แต่ตราสารหนี้ถ้าขายออกไปไม่มีคนซื้อบริษัทก็ต้องหาเงินต่อ ทำธุรกิจต่อไม่ได้ จ่ายเงินเดือนพนักงานไม่ได้ ที่สำคัญจ่ายดอกเบี้ยเจ้าหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้ก็ต้องฟ้องล้มละลายเป็นไปตามกฎหมาย อันนี้เป็นสิ่งที่กังวลว่าเงินจะถูกดึงไปหรือไม่ และหากเงินโดนดึงไปแล้วเกิดเหตุผลนี้ขึ้นมา มีการดึงเงินออกไปก่อน เวินบาทก็อ่อน พอบาทอ่อนก็สะเทือนตลาดหุ้นเพราะถือสินทรัพย์ที่เป็นของเงินบาทก็อาจจะขาดทุนได้ พวกนี้คือความกังวลในเรื่องของนโยบาย  

     ตลาดหุ้นกู้เอกชนในปีหน้าที่จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดรวมมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาทที่จะต้องมีการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด (โรลโอเวอร์) หรือรีไฟแนนซ์จำนวนมาก และจากนโยบายรัฐบาลในการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หากมีการออกพันธบัตรรัฐบาลออกมาอีก 5.6 แสนล้านบาท นั้นก็จะทำให้ดึงเม็ดเงินจากตลาดออกไป โดยจะกระทบบริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลางทำให้โรลโอเวอร์หุ้นกู้ หรือรีไฟแนนซ์ ทำได้ยาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายในปีหน้า

     "จริงๆโทษนายกฯไม่ได้ เพราะนับตั้งแต่ 2 เดือนที่นายกฯเข้ามา ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงหมด ทั้ง ตลาดหุ้นจีน และ อเมริกาปรับตัวลดลง ค่าเงินหลายประเทศปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าช่วงแรกที่เข้ามาเป็นรัฐบาลนั้นตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดเพื่อนบ้าน และค่าเงินบาทอ่อนกว่าค่าเงินรอบบ้าน นั่นบ่งชี้ว่าไทยมีสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวล ซึ่งเราจะเห็นแรงขายของตลาดตราสารหนี้ ซึ่งชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของนโยบายดิจิตอลวอลเล็ต"

ส่องหุ้นไทยปีหน้า

     ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ด้วยปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติไม่ได้มีของเยอะ และโดยโครงสร้างทางด้านการเงินของประเทศไทยไม่ได้อ่อนแอ ไม่เหมือนสมัยต้มยำกุ้งและบริษัทไม่ได้แย่เหมือนช่วงโควิด-19ที่หลายบริษัทปิดกิจการหลายแห่ง ส่วนตัวเชื่อว่าหากดัชนีต่ำกว่า 1,400 เป็นจุดที่น่าซื้อ

60วันสุดปั่นป่วน! หุ้นไทยดี-ร้าย? นายกฯกับแผนกู้เงิน 5แสนล้าน      แต่หากถามว่าดาวน์ไซด์ในใจเต็มที่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 1,200 จุด น่าจะได้เห็นในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ถือเป็นจังหวะในการเข้าสะสม เพราะส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีที่ปรับตัวลงมาจะเป็นการปรับตัวลงรอบสุดท้าย เพราะเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และมีทิศทางที่จะฟื้นตัว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวลดลง จะหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้ โดยมองเป้าดัชนีสิ้นปีหน้า แตะระดับ 1,700 จุด

    "การลงทุนหุ้นปีหน้าควรเลี่ยงหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีหนี้จำนวนมาก สภาพคล่องไม่ดี ซึ่งจะทำให้ปีหน้าจะมีการควบรวมกิจการจำนวนมากของบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ส่วนตัวแนะนำลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตตามเศรษฐกิจ หรือบริษัทที่มีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หรือมีรายได้จากต่างประเทศ หรือจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ"

     โดยหุ้นที่น่าสะสมช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลง คือ กลุ่มเฮลท์แคร์, ท่องเที่ยว, บริการ, ค้าปลีก, ร้านอาหาร, อีวี, โลจิสติกส์, ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน แนะนำหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL), บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO),บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT), บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ,

      บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM), บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA), บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) และ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ถือเป็นกลุ่มหุ้นที่เป็นตัวนำดัชนีขึ้นมาได้หลังจากที่ร่วงลงไปแล้วและสามารถถือยาวจนดัชนีขึ้นไปแตะระดับ 2,000 จุดได้

     "ขาลงในช่วงกลางปีหน้า ขานี้จะเป็นขารอบสุดท้าย ขานี้นักลงทุนทุกคนไม่ควรกลัว แต่ควรหาโอกาสในการลงทุน ตลาดหุ้นถ้ามองในแง่ดีคือ 10ปีไม่ไปไหน แสดงว่าอีก 10 ปีข้างหน้าก็มีโอกาส ซึ่งตลาดหุ้นไทยปีหน้าถ้าลงไปต่ำสุดน่าจะอยู่ในกรอบ 1,200-1,600 จุด แต่ถามว่าจะเห็น 2,000 จุดได้หรือไม่ ผมว่าเห็น แต่อีก 5 ปีข้างหน้า เพราะอย่าลืมว่ากว่าที่เราจะขึ้นมาทดสอบ 1,850 จุดได้ก็ใช้เวลา 20 ปี โดยสามารถถือ 10 หุ้นที่แนะนำถือยาวจนดัชนีไปแตะ 2,000 จุดได้"

60วันสุดปั่นป่วน! หุ้นไทยดี-ร้าย? นายกฯกับแผนกู้เงิน 5แสนล้าน      ล่าสุด ในวันที่ 10 พ.ย.2566 นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจ นั่นก็คือ ความชัดเจนนโยบาย Digital Wallet โดยมีรายละเอียดดังนี้

     1) กำหนดผู้รับสิทธิ์ อายุเกิน 16 ปี รายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาท หรือ เงินฝาก (ทุกบัญชี) รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน 50 ล้านคน 

     2) แหล่งที่มาเงินทุน คือ จำนวน 5 แสนล้านบาท การออก พ.ร.บ.วงเงินกู้เงิน 5 แสนล้านบาท และต้องผ่านกระบวนการสภา ขณะที่จะจัดสรรงบประมาณมาคืนเงินกู้ตลอด 4 ปี

     3) กำหนดกลุ่มสินค้าที่ใช้ได้ในส่วนสินค้าอุปโภค บริโภค และไม่ครอบคลุมร้านค้าออนไลน์

     4) กำหนดรัศมีการใช้งาน ภายในอำเภอตามทะเบียนบ้าน

     5) Platform ที่จะพัฒนามาจากเป๋าตัง

     6) ระยะเวลาโครงการเบื้องต้นกำหนดเดือน พ.ค. 2567

     นอกจากนี้ นายกฯออกโครงการ E-refund ให้คนซื้อสินค้าไม่เกิน 5 หมื่นบาท ขอคืนภาษีได้ มีผลเดือน ม.ค.2567

มองบวกเงินดิจิทัลชัด

      นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์มองบวกต่อความชัดเจนนโยบายดังกล่าว โดยการปรับลดวงเงินจากเดิม แหล่งที่มาเงินทุน แม้เป็นการกู้เงิน แต่ต้องผ่านการตรวจสอบสภา ก่อนที่จะตั้งงบประมาณ มองมีโอกาสสร้างความเชื่อมั่นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ใช้เม็ดเงินลดน้อยลงลดความกังวลตลาดต่อเรื่องการก่อหนี้ และ Credit Risk 

     ขณะที่ประสิทธิภาพตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ผสาน จำกัดกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค จะช่วยเม็ดเงินสร้างประสิทธิภาพได้ไม่ต่างจากแผนเดิม ในส่วนของ Digital Wallet ประเมินบวกต่อกลุ่ม Consumer Staple เน้น CPALL, CPAXT, DOHOME, GLOBAL ที่มีข้อได้เปรียบร้านค้า

      ส่วนนโยบาย E-refund เน้นการจับจ่ายออนไลน์ มองบวกต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ COM7, CRC, JMART นอกจากนี้ กำลังซื้อที่ดีขึ้น จะหนุนกลุ่มเช่าซื้อ MTC รวมถึงติดตามหนี้

      การพัฒนาระบบ Blockchain บน Platform เป๋าตัง จะนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล บวกต่อกลุ่ม Digital Tech BBIK, BE8, ADVANC

     อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดฟื้นตัว การส่งออกดีขึ้น นำเข้าลดลง (จากราคาพลังงานต่ำลง) ท่องเที่ยวฟื้นเร่ง ภาคบริโภคส่งสัญญาณฟื้นตัวจากดัชนีชี้นำ CCI ภาพนโยบาย Digital Wallet ที่ชัดเจนขึ้น ผสาน โครงการ E-Refund มองนำหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์นำตลาดฟื้น

     ขณะที่คาดจะสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดได้ มอง SET มีโอกาสฟื้นตัวจากปัจจุบันที่อยู่ในโซนลงทุน PBV อยู่ราว 1.34 เท่า ใกล้ระดับ ค่าเฉลี่ย – 2 S.D. โดยเชื่อว่าหุ้นที่มีโอกาสขึ้นมาประคองตลาด คือ กลุ่มได้ประโยชน์นโยบาย Digital Wallet ชัดเจนและการเร่งกระตุ้นบริโถครัฐบาล E-Refund CPAXT, DOHOME, GLOBAL, CRC, COM7, MTC กลุ่มดิจิทัล BBIK, BE8, ADVANC

Digital Wallet มาจริง แถมเซอร์ไพร์ส E-refund

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า เงื่อนไข Digital Wallet คือ ชาวไทยอายุ16 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาท/เดือน หรือ เงินฝากต่ํากว่า 5 แสนบาท กลุ่มเป้าหมายประมาณ 50 ล้านคน โดยให้สิทธิ์ใช้ในระยะ 6 เดือน ครอบคลุมการใช้จ่ายในระดับอําเภอตามบัตรประชาชน โดยจะสิ้นสุดโครงการ 2570 เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ค. 2567
     เงื่อนใv E-refund : ผู้ที่ไม่ได้เข้าโครงการ Digital Wallet รัฐบาลประเมินกลุ่มเป้าหมายราว 4 ล้านคน สามารถนํา ค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ในวงเงิน 50,000 บาท ตั้งแต่ ม.ค. 2567 เป็นต้นไป
     เม็ดเงินโครงการ 6 แสนล้านบาท : 5 แสนล้านบาท โครงการ Digital Wallet, 1 แสนล้านบาท รัฐนําเงินไปใส่ในกองทุนเสริมสร้างการแข่งขันใน 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S Curve) รวมถึงคาดหวังวงเงินจาก E-refund ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1-2 แสนล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย Digital Wallet / E-refund
     แหล่งที่มาของเงิน : อยู่ในกรอบวินัยการเงิน การคลัง หรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ ซึ่งพร้อม ชําระคืนหนี้ได้ภายใน 4 ปี โดยเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่สูงกว่าคาด เชื่อว่าจะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจไทยให้โต 5%

5 กลุ่มขานรับ 15หุ้นยิ้ม

     ฝ่ายวิจัยคาดกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย Digital Wallet / E-refund ดังนี้คือ 1.กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL / ERW 2.กลุ่มอาหาร MINT / M / AU 

     3.กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN 4.กลุ่มการเงินและโฆษณา KTC / AEONTS 

     5.กลุ่มอุปโภคบริโภค CPAXT / HMPRO / ADVANC / COM7 / CRC / CPALL / BJC

8 หุ้นค้าปลีกรับอานิสงส์

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) มองว่าโครงการ e-refund ที่จะเริ่ม ม.ค.2567 เป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกโดยภาพรวม เช่น CRC, CPALL, CPAXT, BJC, DOHOME, GLOBAL, COM7, SYNEX

14 หุ้นรับทรัพย์

      ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) มองนโยบายดิจิทัลวอลเลตเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม COMM FIN โดยมอง CPAXT BJC HMPRO GLOBAL DOHOME  ILM และ CPALL มีโอกาสได้รับผลดีโดยตรง เนื่องจากเป็นแหล่งขายสินค้าอุปโภคบริโภค 

      นอกจากนี้ CBG CPW และ CRC มีโอกาสได้รับผลดีจากการช่วยบรรเทาค่าครองชีพจากรัฐบาล 

      ขณะที่ กลุ่มการเงิน เช่น KTC MTC SAWAD และ AEONTS จะได้ประโยชน์จากการช่วยทุเลาค่าใช้จ่าย ช่วยหนุนคุณภาพของสินทรัพย์

6 หุ้นค้าจ่อรับทรัพย์

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า นายกฯแถลงรายละเอียดนโยบาย Digital wallet มีรายละเอียด ดังนี้ 1.ผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เงินเดือไม่เกิน 70,000 บาท หรือ เงินฝาก (ทุกบัญชี) รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ได้รับ Digital wallet คนละ 10,000 บาท 2.ระยะเวลาการใช้ 6 เดือน ส่วนพื้นที่ที่ใช้ คืออำเภอตาม บัตรประชาชน 3.สามารถใช้ซื้อสินค้าได้เท่านั้น ไม่รวมบริการ, สินค้าออนไลน์, ทองคำ, อัญมณี, การคืนหนี้ , ค่าเทอม, สินค้าอบายมุข

      4.หากเป็นไปตามรายละเอียดดังกล่าว จะมีผู้ที่ได้รับสิทธิ์ประมาณ 50 ล้านคน โดยแหล่งเงินที่ใช้จะมาจาก พรบ. เงินกู้ 6 แสนล้านบาท และ 5.ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ Digital wallet จะมีโครงการ E-refunds อีกหนึ่งโครงการ

     ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าด้วยจำนวนเงินที่ออกมามากกว่าที่มีรายงานข่าวออกมาในช่วงก่อนหน้า คาดหุ้นกลุ่มที่มีสินค้าในกลุ่มดังกล่าว จะเริ่มฟื้นตัวได้ แนะนำหุ้น ADVANC, CPALL, CPN,  COM7, CRC และ HMPRO

     อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องตามต่อก็คือ นโยบาย Digital Wallet จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาฯจะให้ผ่านหรือไม่ เพราะการออก พ.ร.บ.วงเงินกู้เงิน 5 แสนล้านบาทต้องผ่านกระบวนการสภาฯ

     เหมือนเกมนี้จะรู้ว่าออกหัว ออกก้อย แต่ท้ายที่สุดก็คงต้องร้องเพลงรอความชัดเจนกันต่อไป