posttoday

ส่องนโยบายปรับเงินเดือนข้าราชการ VS ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ผลกระทบต่อตลาดหุ้น?

11 พฤศจิกายน 2566

เปิดมุมมอง “ปรับเงินเดือนข้าราชการ” ไม่กระทบต้นทุน บจ. แถมดันกำลังซื้อพุ่ง เศรษฐกิจหมุน หนุนกลุ่มค้าปลีก-อาหารเครื่องดื่ม-ไฟแนนซ์-ท่องเที่ยว ต่างจาก “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” กดกำไร บจ. กลุ่มร้านอาหาร-ปั๊มน้ำมัน-รับเหมาก่อสร้าง-อสังหาฯ-ชิ้นส่วนฯ-เกษตร

นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2558 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติ 4 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558, พ.ร.บ.ระเบียบเงินเดือนเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558, พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2558

สาระสำคัญ คือ ให้ปรับเพิ่มเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของ ข้าราชการชั้นผู้น้อยทุกประเภทตั้งแต่ระดับ 1-7 ในอัตรา 4% ของเงินเดือนที่ได้รับอยู่ปัจจุบัน และยังปรับโครงสร้างบัญชีเงินเดือนข้าราชการทุกประเภททุกระดับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% โดยให้มีผลทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้มีผลบังคับย้อนหลังไปตั้งแต่ วันที่ 1 ธ.ค.2557 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาราว 9 ปีแล้ว ที่ข้าราชการไทยไม่ได้มีการปรับฐานเงินเดือน  

จนกระทั่ง ล่าสุด สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ส่งหนังสือถึงหน่วยงานราชการรับทราบข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า ในคราวประชุม ครม. เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566 นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่า รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างรายได้ สร้างชีวิตของคนไทยให้มีเกียรติ มีเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรมสอดคล้องและเพียงพอต่อปัจจัยด้านการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี จึงขอมอบหมาย ดังนี้

  • ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
  • ให้ ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการพลเรือนรับไปเร่งรัดให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาความเหมาะสม และเป็นไปได้ แนวทาง กรอบระยะเวลา และผลกระทบของการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ชัดเจน และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วภายในเดือน พ.ย.2566

ขณะเดียวกัน ในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำได้มีการปรับขึ้นครั้งล่าสุด หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2565 เห็นชอบกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2565-ปีล่าสุด อัตราวันละ 328-354 บาท หรือปรับค่าจ้างขึ้นต่ำเพิ่มวันละ 8-22 บาท ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565

ล่าสุด นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ระบุว่า ในปี 2566 จะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอน แต่คงไม่ใช่ขึ้นเป็น 400 บาท/วัน ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างรอข้อมูลของแต่ละจังหวัด เพื่อประชุมหารือที่กระทรวงแรงงานในวันที่ 17 พ.ย.นี้ จากนั้นจึงจะเป็นการหารือของคณะกรรมการค่าจ้างในรูปแบบไตรภาคี คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินกลางเดือน ธ.ค.2566 

ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” จึงนำเสนอมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีต่อการปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ และปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเชิงบวกและเชิงลบอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน 

“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า การปรับอัตราเงินเดือนสําหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผลกระทบจะเป็นเชิงบวกมากกว่า เนื่องจากไม่กระทบต่อต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับระบบเศรษฐกิจไทย โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ ค้าปลีก (CPALL), อาหารเครื่องดื่ม (OSP), ไฟแนนซ์ (SAWAD)

ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยรวมจะส่งผลกระทบเชิงลบกับบริษัทที่มีการใช้คนจำนวนมาก เช่น ธุรกิจค้าปลีก (มองเป็นกลาง มีทั้งได้ด้านที่เสียประโยชน์ จากต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และด้านที่ได้ประโยชน์ จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น) ร้านอาหาร และปั๊มน้ำมัน รวมไปถึงภาคผลิต ธุรกิจเหล่านี้จะถูกกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้น ทำให้ต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น

สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้ผลกระทบเชิงลบ จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ร้านอาหาร, ปั๊มน้ำมัน และรับเหมาก่อสร้าง   

ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ได้ผลกระทบเชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น คือ กุล่ม Domestic Play ได้แก่ ค้าปลีก (CPALL), อาหารเครื่องดื่ม (OSP), ไฟแนนซ์ (SAWAD) 

ทั้งนี้ มองว่าหากมีการปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการก่อน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี จะทำให้ไม่เห็นผลกระทบเชิงลบ และเมื่อเศรษฐกิจหมุนได้ จึงค่อยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นไปตามที่มีข่าวว่าอัตราการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจจะไม่ใช่ 400 บาท/วัน ทั่วประเทศ เพราะขณะนี้ผู้ประกอบการไม่พร้อมที่จะให้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปในอัตราที่สูงมาก 

“ปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัว จากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า งบประมาณที่จะนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่มี หากเร่งขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็จะกระทบกับผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นควรเป็นลักษณะทยอยปรับขึ้น ผลกระทบต่อต้นทุนก็จะไม่มาก ผู้ประกอบการรับมือได้ทัน ส่วนเงินเดือนข้าราชการก็ปรับขึ้นมากหน่อย เพราะไม่ได้กระทบกับผู้ประกอบการ”  

ตามนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน ภายใน 4 ปี หากคิดจากค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน คิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณ 60% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 15% ซึ่งหากปีแรก ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ถึง 400 บาท/วัน คิดเป็นเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10% จากค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน มองว่าสมเหตุสมผล ไม่กระทบกับต้นทุนของผู้ประกอบการมากนัก และเป็นอัตราใกล้เคียงกับที่ปรับขึ้น 5-10% ในช่วงที่ผ่านมา ยกเว้นในช่วงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีการปรับขึ้นในอัตราที่สูง 

เช่นเดียวกับ “วทัญ จิตต์สมนึก” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า นโยบายการปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ ยังเป็นเพียงการศึกษาความเหมาะสม และเป็นไปได้ของแนวทาง กรอบระยะเวลา รวมไปถึงผลกระทบของการปรับอัตราเงินเดือนสําหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือน และเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ชัดเจนเท่านั้น โดยให้รายงานผลให้ ครม. ทราบโดยเร็วภายในเดือน พ.ย.นี้ 

ทั้งนี้ หาก ครม.อนุมัตินโยบายดังกล่าว ประเมินว่าส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเชิงบวกเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไม่ได้มีภาระเพิ่มขึ้น (SG&A) ในภาพรวมไม่ได้สูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้รับภาระจากการปรับขึ้นเงินเดือน แต่บริษัทจดทะเบียนจะได้ประโยชน์ในแง่รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกำลังซื้อที่จะมากขึ้น

โดยหุ้นกุล่มที่ได้รับประโยชน์ เช่น กลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO) ร้านอาหาร (AU, M) และท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA)

ด้าน “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเกิดขึ้นจริง ตลาดอาจกังวลกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงไปบ้าง จากต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการที่มีสัดส่วนแรงงานรายได้ขั้นต่ำในระดับสูง เช่น รับเหมาฯ, อสังหาฯ, ชิ้นส่วนฯ, อาหารและเกษตร เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าโดยสุทธิแล้ว ผลกระทบโดยรวมต่อภาคการบริโภคของไทยจะเป็นบวก ซึ่งจะกลายมาเป็นอานิสงส์ทางอ้อมต่อกลุ่มค้าปลีก (COMM) ให้เป็น Sector ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลางต่อไป โดยปัจจุบัน กลุ่มนี้ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดในปีนี้อยู่ราว 6.3%

บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ตามที่ รมว.กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในปีนี้จะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ระดับ 400 บาท/วัน ทั่วประเทศ เพราะฐานของค่าแรงแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน มองจำกัด Downside ต่อกลุ่มที่มีสัดส่วนค่าแรงสูง อาทิ สถานีบริการน้ำมัน, รับเหมา, อสังหาฯ, ร้านอาหาร และโรงแรม นอกจากนี้ สภาพัฒน์เตรียมสรุปแนวทาง “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ” โดยรวมประเมินค่าแรง และเงินเดือนที่จะปรับขึ้น บวกต่อกลุ่มเช่าซื้อ (MTC) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) 

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี