ETL ปิดเทรดวันแรก 1.30 บาท ต่ำจอง 22.62%
ETL ปิดเทรดวันแรก 1.30 บาท ลดลง 22.62% จากราคาไอพีโอ 1.68 บาท ฟากผู้บริหาร ลุยขยายขีดความสามารถในการให้บริการตามแผน วางเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี เจรจาพันธมิตรกัมพูชา-เมียนมา คาดชัดเจนไตรมาส 2-3/67
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETL เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (1 พ.ย.2566) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์
โดยเปิดซื้อขายที่ราคา 1.35 บาท ปรับลดลง 0.33 บาท หรือคิดเป็นลดลง 19.64% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 1.68 บาท ระหว่างวันปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 1.43 บาทปรับตัวต่ำสุดที่ 1.26 บาท และปิดซื้อขายที่ราคา 1.30 บาท ปรับลดลง 0.38 บาท หรือคิดเป็นลดลง 22.62% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 153.53 ล้านบาท
นางสาวกฤชวรรณ ซื้อเจริญชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETL เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และจีน ซึ่งมีการเชื่อมต่อพรมแดนทางถนนและรางรถไฟ
อย่างไรก็ตาม บริษัทมุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนไปยังทวีปยุโรปในอนาคต คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้ ETL เป็นหนึ่งหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างแน่นอน
“บริษัทจะเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีทิศทางการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจน แม้ราคาเปิดซื้อขายวันแรกจะต่ำจอง แต่ไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างใด” นางสาวกฤชวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนนำเงินที่ได้จากการ IPO ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไปขยายธุรกิจ โดยมุ่งหวังสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น เพื่อความพึงพอใจของลูกค้า ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด
โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน 1) ใช้สำหรับการขยายธุรกิจจำนวน 70% เพื่อลงทุนในยานพาหนะ ได้แก่ รถลากจูงและหางพ่วงเพื่อขยายกำลังการขนส่ง, ลงทุนในตู้คอนเทนเนอร์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) และตู้แบบมาตรฐาน(Dry Container), ลงทุนในลานตู้คอนเทนเนอร์เพื่อจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ จอดยานพาหนะ รวมถึงซ่อมแซมและบำรุงรักษาสินทรัพย์ของกลุ่มบริษัทฯ และลงทุนระบบการบริหารจัดการการขนส่งรองรับการให้บริการที่เพิ่มมากขึ้น
2) ชำระคืนเจ้าหนี้และเงินกู้ยืม จำนวน 20% ได้แก่ ชำระคืนเจ้าหนี้ค่าซื้อกิจการ จากการเข้าซื้อธุรกิจในปี 2564 และชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน และ 3) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ จำนวน 10% รองรับการขยายตัวของบริษัท
สำหรับการขยายธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ด้วยแผนขยายงาน ได้แก่ การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ เพื่อต่อยอดการเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าผลไม้ ยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอายุการใช้งานที่จำกัด จึงต้องการการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ และระยะเวลาการขนส่งที่แน่นอน โดยบริษัทฯ สามารถให้บริการการขนส่งที่มีความปลอดภัย ภายใต้คุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนยานพาหนะเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ด้วยประสบการณ์และฐานลูกค้าที่มีในมือ รวมถึงโอกาสธุรกิจในอนาคต จึงมีแผนขยายจำนวนรถลากจูงและรถกึ่งพ่วง รวมถึงการขยายการลงทุนตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า พร้อมจัดทำโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าของการให้บริการ และยกระดับคุณภาพโดยมุ่งเน้นการรักษาสินค้าให้คงคุณภาพเดิมจนถึงมือผู้รับปลายทาง ดังนั้นจากแผนการขยายงานดังกล่าวคสดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี
“กลุ่มผู้บริหารที่ร่วมก่อตั้งบริษัทต่างเชื่อมั่นในธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนเพราะช่วงที่ผ่านมา ETL เติบโตมาแบบOrganic ซึ่งเราที่ได้รับการสนับสนุนที่ดีมาจากลูกค้าทั้งหลายที่ให้ความเชื่อมั่น ซึ่งเป้าหมายหลังจากนี้ เราจะก้าวเข้าไปสู่ตลาดใหม่ๆ ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม โดยการเติบโตหลังจากนี้ก็จะเป็นการเปิดทางควบคู่กันไปทั้งแบบ Organic และ Inorganic โดย ETL พร้อมแล้วที่จะเป็นหุ้น Growth Stock ให้กับนักลงทุนต่อไป” นางสาวกฤชวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ ETL มีศักยภาพเติบโตโดดเด่น จากแผนธุรกิจเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการขนส่งสินค้า ด้วยการขยายไปยังระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) เพราะเมื่ออ้างจากตัวเลขบทวิเคราะห์มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้เห็นถึงโอกาสความต้องการการขนส่งสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิ เช่น ผลไม้สดและผลไม้แช่เย็น ที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังตลาดหลักคือ ประเทศจีน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ ETL มีเครือข่ายและทำธุรกิจอยู่แล้ว ทำให้ ETL มองเห็นโอกาสที่จะเติบโตอย่างมหาศาลไม่ใช่เพียงแค่ 3-5 ปี แต่จะต่อเนื่องในระยะยาว ถือเป็นข้อแตกต่างเมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ขณะเดียวกัน บริษัทมีความสนใจร่วมทุนกับพันธมิตรและการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องหรือสามารถเสริมศักยภาพของธุรกิจ โดยในปัจจุบันได้ศึกษาหาความเป็นไปได้ควบคู่กับการเจรจากับพันธมิตรกัมพูชาและเมียนมาโดยคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในไตรมาส 2-3/2567


